“วิทยา” เข้ม! สั่งฟันไม่เลี้ยงเจ้าหน้าที่ สธ.มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาซูโดอีเฟดรีน ล่าสุดพบเภสัชกรที่อุตรดิตถ์ 1 ราย มีพฤติกรรมเช่นเดียวกับที่จังหวัดอุดรธานี สั่งซื้อยาจำนวน 975,000 เม็ด พร้อมตั้งกรรมการสอบสวน หากพบเกี่ยวพันการค้ายาเสพติด จะให้ออกจากราชการทุกราย ขณะที่กรณีเภสัชอุดรฯ คาดสรุปโทษทางวินัย 27 ก.พ.นี้
นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับความคืบหน้าของการดำเนินการควบคุมป้องกันการลักลอบ จำหน่ายยาแก้หวัดที่มีซูโดอีเฟดรีน เป็นส่วนผสมซึ่งอนุญาตให้ใช้ในโรงพยาบาลรัฐและเอกชนเท่านั้น ไม่ให้จำหน่ายในร้านขายยา ซึ่งหลังจากที่มีการจับกุมเภสัชกรของโรงพยาบาลอุดรธานี ระดับชำนาญการ กระทำผิด ลักลอบส่งยาแก้หวัดดังกล่าวจำนวน 65,000 เม็ด และจัดทำหลักฐานเท็จเมื่อวานนี้ว่า หลังจากขยายผล ได้รับรายงานเพิ่มเติมพบเภสัชกรประจำโรงพยาบาลทองแสนขัน ที่จังหวัดอุตรดิตถ์อีก1 ราย มีพฤติกรรมเช่นเดียวกับเภสัชกรที่จังหวัดอุดรธานี โดยมีการสั่งซื้อยาแก้หวัดล็อตเดียวกับที่ตรวจสอบได้ที่โรงพยาบาลอุดรธานี โดยมียอดสั่งซื้อจากบริษัทยามากถึง 975,000 เม็ด แต่แจ้งยอดที่โรงพยาบาลสั่งซื้อเพียง 10,000 เม็ด
“เรื่องนี้ สธ.ยอมไม่ได้ จะใช้มาตรการลงโทษขั้นเด็ดขาดกับบุคลากรทางการแพทย์ทุกรายที่เกี่ยวข้องกับ การลักลอบขายยาแก้หวัดที่ควบคุมพิเศษ ซึ่งอยู่ระหว่างการเพิ่มโทษให้รุนแรงกว่าเดิม และขยายผลไปถึงแหล่งสั่งซื้อและแนวร่วมอื่นๆด้วย โดยได้มอบหมายให้นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่ากระทรวงสาธารณสุข และประธานชุดทำงานควบคุมป้องกันการลักลอบจำหน่ายยาแก้หวัดที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นสูตรผสม ให้ติดตามข้อเท็จจริงเรื่องนี้เป็นการด่วน ได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุตรดิถต์ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง 1 ชุด ให้รายงานผลเป็นการด่วน และ กำชับปลัดกระทรวงสาธารณสุข หากพบว่ามีข้าราชการของกระทรวงสาธารณสุขพัวพันกับการค้ายาเสพติด จะให้ออกจากราชการทันทีและขยายผลตรวจสอบถึงแหล่งต้นทางและปลายทาง เพื่อที่จะกวาดล้างปัญหาให้หมดไปโดยเร็วที่สุด ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี” รมว.สาธารณสุข กล่าว
นายวิทยากล่าวว่า สำหรับการบำบัดผู้เสพยาเสพติดนั้น ขณะนี้ สธ.ได้เปิดให้บริการบำบัดผู้เสพยาอย่างต่อเนื่อง และเป็นระบบที่ให้ผู้เสพติดสมัครใจเข้ารักษา ไม่บังคับ ยินดีให้การบำบัดบุตรหลานที่หลงผิดทุกราย ซึ่งกรณีของคุณเสก โลโซ เป็นตัวอย่างของผู้สมัครใจที่ได้รับการบำบัดแล้วและกลับไปเป็นศิลปินต่อ และใช้ชีวิตตามปกติ ซึ่ง เป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นว่าการติดยาเสพติด เราสามารถช่วยบำบัดให้เลิกเสพยาได้ โดยท่านนายกรัฐมนตรีได้ย้ำว่าเป้าหมายในปีนี้ ไม่จำเป็นจะต้องรอว่าถูกจับกุมก่อน จึงจะเข้ารักษา แต่จะให้อาสาสมัครสาธารณสุข เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ผู้หลงผิดเสพยา ที่อยู่หมู่บ้านหรือ ตำบลทุกแห่งเข้ารับการบำบัด เพราะผู้เสพสารเสพติดจัดเป็นผู้ป่วยทุกรายต้องได้รับการบำบัดฟื้นฟูให้หายขาด ไม่หันไปยุ่งเกี่ยวยาเสพติดอีก
ด้าน นายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่าได้ทำหนังสือด่วน กำชับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดและผู้อำนวยการโรงพยาบาลทุกแห่งทั่วประเทศ ให้สำรวจการใช้ยาแก้ไข้หวัดสูตรที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นสูตรผสม ย้อนหลังไป1 ปี ถ้ามีการใช้มากเกินผิดปกติที่ควรจะเป็น ให้ผู้ตรวจราชการทุกเขต และนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดตรวจสอบด่วน ถ้าพบว่ามีส่วนพัวพันกับการลักลอบการค้ายาเสพติด จะให้ออกจากราชการทันที ตามคำสั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งถือว่าเรื่องนี้เป็นความผิดขั้นร้ายแรง
ขณะที่ ความคืบหน้าในการตั้งคณะกรรมการสอบข้อท็จจริงกรณีเภสัชกรรายหนึ่ง จ.อุดรธานี นั้น นพ.สัญชัย ปิยะพงษ์กุล นายแพทย์สาธารณสุข จ.อุดรธานี เปิดเผยว่า ผลการสืบสวนสรุปว่ามีความผิดจริงและจะส่งผลสอบสวนเสนอไปยังคณะกรรมการสืบสวนร้ายแรงคาดว่าจะได้ผลสรุปลงโทษทางวินัยในวันจันทร์ที่ 27 ก.พ.ทั้งนี้ ตนไม่สามารถเปิดเผยข้อเสนอการลงโทษเภสัชกรรายนี้ได้เนื่องจากจะเป็นการก้าวกายหน้าที่ของคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงได้
นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับความคืบหน้าของการดำเนินการควบคุมป้องกันการลักลอบ จำหน่ายยาแก้หวัดที่มีซูโดอีเฟดรีน เป็นส่วนผสมซึ่งอนุญาตให้ใช้ในโรงพยาบาลรัฐและเอกชนเท่านั้น ไม่ให้จำหน่ายในร้านขายยา ซึ่งหลังจากที่มีการจับกุมเภสัชกรของโรงพยาบาลอุดรธานี ระดับชำนาญการ กระทำผิด ลักลอบส่งยาแก้หวัดดังกล่าวจำนวน 65,000 เม็ด และจัดทำหลักฐานเท็จเมื่อวานนี้ว่า หลังจากขยายผล ได้รับรายงานเพิ่มเติมพบเภสัชกรประจำโรงพยาบาลทองแสนขัน ที่จังหวัดอุตรดิตถ์อีก1 ราย มีพฤติกรรมเช่นเดียวกับเภสัชกรที่จังหวัดอุดรธานี โดยมีการสั่งซื้อยาแก้หวัดล็อตเดียวกับที่ตรวจสอบได้ที่โรงพยาบาลอุดรธานี โดยมียอดสั่งซื้อจากบริษัทยามากถึง 975,000 เม็ด แต่แจ้งยอดที่โรงพยาบาลสั่งซื้อเพียง 10,000 เม็ด
“เรื่องนี้ สธ.ยอมไม่ได้ จะใช้มาตรการลงโทษขั้นเด็ดขาดกับบุคลากรทางการแพทย์ทุกรายที่เกี่ยวข้องกับ การลักลอบขายยาแก้หวัดที่ควบคุมพิเศษ ซึ่งอยู่ระหว่างการเพิ่มโทษให้รุนแรงกว่าเดิม และขยายผลไปถึงแหล่งสั่งซื้อและแนวร่วมอื่นๆด้วย โดยได้มอบหมายให้นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่ากระทรวงสาธารณสุข และประธานชุดทำงานควบคุมป้องกันการลักลอบจำหน่ายยาแก้หวัดที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นสูตรผสม ให้ติดตามข้อเท็จจริงเรื่องนี้เป็นการด่วน ได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุตรดิถต์ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง 1 ชุด ให้รายงานผลเป็นการด่วน และ กำชับปลัดกระทรวงสาธารณสุข หากพบว่ามีข้าราชการของกระทรวงสาธารณสุขพัวพันกับการค้ายาเสพติด จะให้ออกจากราชการทันทีและขยายผลตรวจสอบถึงแหล่งต้นทางและปลายทาง เพื่อที่จะกวาดล้างปัญหาให้หมดไปโดยเร็วที่สุด ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี” รมว.สาธารณสุข กล่าว
นายวิทยากล่าวว่า สำหรับการบำบัดผู้เสพยาเสพติดนั้น ขณะนี้ สธ.ได้เปิดให้บริการบำบัดผู้เสพยาอย่างต่อเนื่อง และเป็นระบบที่ให้ผู้เสพติดสมัครใจเข้ารักษา ไม่บังคับ ยินดีให้การบำบัดบุตรหลานที่หลงผิดทุกราย ซึ่งกรณีของคุณเสก โลโซ เป็นตัวอย่างของผู้สมัครใจที่ได้รับการบำบัดแล้วและกลับไปเป็นศิลปินต่อ และใช้ชีวิตตามปกติ ซึ่ง เป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นว่าการติดยาเสพติด เราสามารถช่วยบำบัดให้เลิกเสพยาได้ โดยท่านนายกรัฐมนตรีได้ย้ำว่าเป้าหมายในปีนี้ ไม่จำเป็นจะต้องรอว่าถูกจับกุมก่อน จึงจะเข้ารักษา แต่จะให้อาสาสมัครสาธารณสุข เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ผู้หลงผิดเสพยา ที่อยู่หมู่บ้านหรือ ตำบลทุกแห่งเข้ารับการบำบัด เพราะผู้เสพสารเสพติดจัดเป็นผู้ป่วยทุกรายต้องได้รับการบำบัดฟื้นฟูให้หายขาด ไม่หันไปยุ่งเกี่ยวยาเสพติดอีก
ด้าน นายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่าได้ทำหนังสือด่วน กำชับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดและผู้อำนวยการโรงพยาบาลทุกแห่งทั่วประเทศ ให้สำรวจการใช้ยาแก้ไข้หวัดสูตรที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นสูตรผสม ย้อนหลังไป1 ปี ถ้ามีการใช้มากเกินผิดปกติที่ควรจะเป็น ให้ผู้ตรวจราชการทุกเขต และนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดตรวจสอบด่วน ถ้าพบว่ามีส่วนพัวพันกับการลักลอบการค้ายาเสพติด จะให้ออกจากราชการทันที ตามคำสั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งถือว่าเรื่องนี้เป็นความผิดขั้นร้ายแรง
ขณะที่ ความคืบหน้าในการตั้งคณะกรรมการสอบข้อท็จจริงกรณีเภสัชกรรายหนึ่ง จ.อุดรธานี นั้น นพ.สัญชัย ปิยะพงษ์กุล นายแพทย์สาธารณสุข จ.อุดรธานี เปิดเผยว่า ผลการสืบสวนสรุปว่ามีความผิดจริงและจะส่งผลสอบสวนเสนอไปยังคณะกรรมการสืบสวนร้ายแรงคาดว่าจะได้ผลสรุปลงโทษทางวินัยในวันจันทร์ที่ 27 ก.พ.ทั้งนี้ ตนไม่สามารถเปิดเผยข้อเสนอการลงโทษเภสัชกรรายนี้ได้เนื่องจากจะเป็นการก้าวกายหน้าที่ของคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงได้