โดย...รัชญา จันทะรัง
จากยอดดอยสูงตั้งอยู่ใจกลางสามเหลี่ยมทองคำของจังหวัดเชียงราย กลับกลายมาเป็นพื้นที่ทรงงานของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในชื่อโครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ด้วยทรงมีพระราชประสงค์ที่จะแก้ไขปัญหาความยากจน และการขาดโอกาสในการดำรงชีวิต จึงทรงมีพระราชดำริที่จะนำผืนป่ากลับคืนสู่ดอยตุง และฟื้นฟูดอยตุงทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ชนกลุ่มน้อยต่างๆ ในพื้นที่ได้มีความหวังอีกครั้ง โดยพระราชปรัชญาในการทรงงานของสมเด็จย่า คือ การพัฒนาคุณภาพชีวิต และส่งเสริมให้คนอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างมีสำนึกและพึ่งพาอาศัยกัน ดังนั้น โครงการพัฒนาดอยตุงจึงถือกำเนิดขึ้น และยืนหยัดมาเป็นเวลากว่า 24 ปี และในวันนี้โครงการพัฒนาดอยตุง ได้ก้าวไปอีกขั้นของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนอันเกิดจากฝีมือของชาวบ้านในพื้นที่ทรงงาน เมื่อผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ดอยตุง ที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ตั้งใจสร้างแบรนด์นี้ขึ้นมาเพื่อเป็นช่องทางหลักในการหารายได้สนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ของโครงการพัฒนาดอยตุง จนล่าสุดได้รับ “ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์” ซึ่งเป็นฉลากแสดงตัวเลขของปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์
คุณหญิง พวงร้อย ดิสกุล ณ อยุธยา ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาดอยตุง ฉายภาพดอยตุงในวันวานก่อนก้าวสู่ความสำเร็จในวันนี้ให้ฟังว่า เราทำเรื่องสิ่งแวดล้อมมาเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว เริ่มจากที่สมเด็จย่าพระองค์ท่านทรงริเริ่มการปลูกป่าเพื่อฟื้นคืนสภาพสภาพแวดล้อมในพื้นที่ดอยตุง จนถึงทุกวันนี้ที่เรามีผลิตภัณฑ์ชุมชนเป็นของตัวเอง ซึ่งวัตถุดิบที่เรานำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์นั้น เราคำนึงถึงการใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เช่น ต้นสาซึ่งเรานำมาใช้ในการทำกระดาษสา เราก็ไม่ได้โค่นมาทั้งต้นแต่เราใช้เพียงการริดกิ่งแล้วนำเปลือกที่ได้จากกิ่งมาผ่านกระบวนการผลิตเป็นกระดาษสา หรือแม้แต่เปลือกของเมล็ดกาแฟทางโครงการพัฒนาดอยตุง ก็จะนำไปทำปุ๋ยใช้ในโรงต้นไม้ซึ่งเราจัดการตั้งแต่บ่มเพาะต้นกล้าจนหมดอายุ
“การที่เราเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการใช้ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์นั้น เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องของชุมชนที่ชาวบ้านจะสามารถทำเองได้หมด และที่สำคัญมันเป็นความภาคภูมิใจ เราทำด้วยความสำนึกทำด้วยความห่วงใย ซึ่งโครงการพัฒนาดอยตุงสามารถประกาศให้ทุกคนรู้ว่าเราสามารถทำตามพระราชดำริของสมเด็จย่าได้ และที่สำคัญไปกว่าการค้า คือ เราสามารถสร้างความมีจิตสำนึก การมีส่วนร่วมในการรักษาธรรมชาติให้ยั่งยืน” ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาดอยตุง ระบุ
สำหรับผลิตภัณฑ์ของดอยตุงที่ได้รับฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ มี 4 ชนิด ได้แก่ กาแฟคั่วบดบรรจุถุงสูตรคลาสสิคโรสต์ แมคคาเดเมียนัทอบบรรจุถุงรสเกลือ แก้วเซรามิกลายหน้าชาวเขา และกระดาษสาไทยแบบไม่ฟอก
ศิริธัญญ์ ไพโรจน์บริบูรณ์ ที่ปรึกษาองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ระบุถึงสถานการณ์การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยว่า เมื่อปี 2543 มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าไป 230 ล้านตัน ปัจจุบันขึ้นมาเป็น 350 ล้านตัน ซึ่งถ้าหากเราไม่ทำอะไรเลย คาดว่า ในปี 2563 จะเพิ่มเป็น 498 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ทั้งนี้ ประเทศไทยถือว่าเป็นที่หนึ่งในอาเซียนที่มีการติดฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ เป็นชาติที่ 3 ในทวีปเอเชียต่อจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้โดยฉลากที่ติดบนผลิตภัณฑ์ดอยตุงใน 4 ชนิดนี้จะมีอายุ 2 ปีต่อ 1 ผลิตภัณฑ์
สำหรับผู้บริโภคแล้วเมื่อเห็นฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ติดอยู่บนสินค้าก็จะช่วยให้ทราบว่า ตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาปริมาณเท่าใด โดยฉลากดังกล่าวใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการเลือกซื้อสินค้าที่มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับต่ำโดยปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะถูกคำนวณให้อยู่ในรูปของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2 equivalent) ซึ่งหากผลิตภัณฑ์ของไทยโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ชุมชนหันมาให้ความสนใจในการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจนสามารถติดฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้แล้วแน่นอนหนทางย่อมสดใส เพราะไม่ใช่แค่ผู้บริโภคชาวไทยจะให้ความสนใจมากขึ้นแล้วยังได้รับการยอมรับจากประเทศคู่ค้าสอดคล้องกับทัศนะของ ดร.เกษม จิณณวาโส อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งระบุว่า ที่สำคัญการได้รับฉลากคาร์บอนฟุตพริ๊นท์จะเป็นการเพิ่มศักยภาพทางการตลาดให้กับผู้ผลิตขณะที่ผู้บริโภคที่ซื้อผลิตภัณฑ์ที่ติดฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์จอย่างของดอยตุงก็จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยกันลดโลกร้อน
จากยอดดอยสูงตั้งอยู่ใจกลางสามเหลี่ยมทองคำของจังหวัดเชียงราย กลับกลายมาเป็นพื้นที่ทรงงานของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในชื่อโครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ด้วยทรงมีพระราชประสงค์ที่จะแก้ไขปัญหาความยากจน และการขาดโอกาสในการดำรงชีวิต จึงทรงมีพระราชดำริที่จะนำผืนป่ากลับคืนสู่ดอยตุง และฟื้นฟูดอยตุงทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ชนกลุ่มน้อยต่างๆ ในพื้นที่ได้มีความหวังอีกครั้ง โดยพระราชปรัชญาในการทรงงานของสมเด็จย่า คือ การพัฒนาคุณภาพชีวิต และส่งเสริมให้คนอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างมีสำนึกและพึ่งพาอาศัยกัน ดังนั้น โครงการพัฒนาดอยตุงจึงถือกำเนิดขึ้น และยืนหยัดมาเป็นเวลากว่า 24 ปี และในวันนี้โครงการพัฒนาดอยตุง ได้ก้าวไปอีกขั้นของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนอันเกิดจากฝีมือของชาวบ้านในพื้นที่ทรงงาน เมื่อผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ดอยตุง ที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ตั้งใจสร้างแบรนด์นี้ขึ้นมาเพื่อเป็นช่องทางหลักในการหารายได้สนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ของโครงการพัฒนาดอยตุง จนล่าสุดได้รับ “ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์” ซึ่งเป็นฉลากแสดงตัวเลขของปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์
คุณหญิง พวงร้อย ดิสกุล ณ อยุธยา ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาดอยตุง ฉายภาพดอยตุงในวันวานก่อนก้าวสู่ความสำเร็จในวันนี้ให้ฟังว่า เราทำเรื่องสิ่งแวดล้อมมาเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว เริ่มจากที่สมเด็จย่าพระองค์ท่านทรงริเริ่มการปลูกป่าเพื่อฟื้นคืนสภาพสภาพแวดล้อมในพื้นที่ดอยตุง จนถึงทุกวันนี้ที่เรามีผลิตภัณฑ์ชุมชนเป็นของตัวเอง ซึ่งวัตถุดิบที่เรานำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์นั้น เราคำนึงถึงการใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เช่น ต้นสาซึ่งเรานำมาใช้ในการทำกระดาษสา เราก็ไม่ได้โค่นมาทั้งต้นแต่เราใช้เพียงการริดกิ่งแล้วนำเปลือกที่ได้จากกิ่งมาผ่านกระบวนการผลิตเป็นกระดาษสา หรือแม้แต่เปลือกของเมล็ดกาแฟทางโครงการพัฒนาดอยตุง ก็จะนำไปทำปุ๋ยใช้ในโรงต้นไม้ซึ่งเราจัดการตั้งแต่บ่มเพาะต้นกล้าจนหมดอายุ
“การที่เราเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการใช้ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์นั้น เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องของชุมชนที่ชาวบ้านจะสามารถทำเองได้หมด และที่สำคัญมันเป็นความภาคภูมิใจ เราทำด้วยความสำนึกทำด้วยความห่วงใย ซึ่งโครงการพัฒนาดอยตุงสามารถประกาศให้ทุกคนรู้ว่าเราสามารถทำตามพระราชดำริของสมเด็จย่าได้ และที่สำคัญไปกว่าการค้า คือ เราสามารถสร้างความมีจิตสำนึก การมีส่วนร่วมในการรักษาธรรมชาติให้ยั่งยืน” ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาดอยตุง ระบุ
สำหรับผลิตภัณฑ์ของดอยตุงที่ได้รับฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ มี 4 ชนิด ได้แก่ กาแฟคั่วบดบรรจุถุงสูตรคลาสสิคโรสต์ แมคคาเดเมียนัทอบบรรจุถุงรสเกลือ แก้วเซรามิกลายหน้าชาวเขา และกระดาษสาไทยแบบไม่ฟอก
ศิริธัญญ์ ไพโรจน์บริบูรณ์ ที่ปรึกษาองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ระบุถึงสถานการณ์การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยว่า เมื่อปี 2543 มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าไป 230 ล้านตัน ปัจจุบันขึ้นมาเป็น 350 ล้านตัน ซึ่งถ้าหากเราไม่ทำอะไรเลย คาดว่า ในปี 2563 จะเพิ่มเป็น 498 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ทั้งนี้ ประเทศไทยถือว่าเป็นที่หนึ่งในอาเซียนที่มีการติดฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ เป็นชาติที่ 3 ในทวีปเอเชียต่อจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้โดยฉลากที่ติดบนผลิตภัณฑ์ดอยตุงใน 4 ชนิดนี้จะมีอายุ 2 ปีต่อ 1 ผลิตภัณฑ์
สำหรับผู้บริโภคแล้วเมื่อเห็นฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ติดอยู่บนสินค้าก็จะช่วยให้ทราบว่า ตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาปริมาณเท่าใด โดยฉลากดังกล่าวใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการเลือกซื้อสินค้าที่มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับต่ำโดยปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะถูกคำนวณให้อยู่ในรูปของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2 equivalent) ซึ่งหากผลิตภัณฑ์ของไทยโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ชุมชนหันมาให้ความสนใจในการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจนสามารถติดฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้แล้วแน่นอนหนทางย่อมสดใส เพราะไม่ใช่แค่ผู้บริโภคชาวไทยจะให้ความสนใจมากขึ้นแล้วยังได้รับการยอมรับจากประเทศคู่ค้าสอดคล้องกับทัศนะของ ดร.เกษม จิณณวาโส อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งระบุว่า ที่สำคัญการได้รับฉลากคาร์บอนฟุตพริ๊นท์จะเป็นการเพิ่มศักยภาพทางการตลาดให้กับผู้ผลิตขณะที่ผู้บริโภคที่ซื้อผลิตภัณฑ์ที่ติดฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์จอย่างของดอยตุงก็จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยกันลดโลกร้อน