“นพ.ประตาป” โต้ กลุ่ม ปชช.ที่ยื่นฟ้อง คณะเวชศาสตร์เขตร้อน ม.มหิดล กรณีสั่งยุติวิธีรักษาโรคบวมน้ำเหลือง ขัดต่อมาตรฐาน “การแพทย์-จริยธรรม” ชี้ต้องผ่านความเห็น คกก.จริยธรรม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มประชาชนจำนวน 13 ราย ได้เข้าชื่อ ยื่นฟ้องคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ต่อศาลปกครอง เนื่องจากเมื่อวันที่ 14 ต.ค.ที่ผ่านมา คณะเวชศาสตร์ฯ ได้ออกคำสั่งยุติการรักษาหน่วยรักษาโรคบวมน้ำเหลืองด้วยวิธีภูษาบำบัด และการขันชะเนาะ ทำให้ผู้ป่วยกว่า 2 พันคนได้รับผลกระทบโดยไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม
ล่าสุด ผศ.นพ.ประตาป สิงหศิวานนท์ คณบดีเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยามหิดล กล่าวถึงกรณีดังกล่าว ว่า ในความจริงเรื่องนี้เป็นการลงความเห็นร่วมกันขององค์การแพทย์ของมหาวิทยาลัย เนื่องจากพบประเด็นที่อาจส่งผลต่อมาตรฐานการรักษาของผู้ป่วย และผิดต่อจริยธรรม ซึ่งอาจจะเกิดอันตรายต่อผู้ป่วยได้ จึงจำเป็นต้องยุติการรักษาดังกล่าวชั่วคราว โดยจุดเริ่มต้นของการรักษาหน่วยดังกล่าว ทำเพื่อรักษาผู้ป่วยโรคน้ำเหลืองที่เกิดจากโรคเท้าช้าง ซึ่งทำให้ระบบน้ำเหลืองไม่สามารถไหลย้อนกลับเข้าเส้นเลือดตามปกติ จนทำให้เกิดการอักเสบ ตีบตันและเท้าโต แต่พบว่า แพทย์ผู้ทำการรักษา นำวิธีการดังกล่าวไปรักษาในผู้ป่วยที่มีอาการบวมน้ำเหลืองจากโรคอื่นๆ ร่วมด้วย ซึ่งจำเป็นต้องผ่านคณะกรรมการจริยธรรมก่อน เพราะบางครั้ง อาจเกิดผลกระทบต่อเนื่องและเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยได้ นอกจากนี้ แพทย์ผู้การรักษา จะได้รับการต่อใบประกอบโรคศิลป์เป็นรายปีจากสถาบันฯ แต่เนื่องจากแพทย์ ไม่กระทำตามหลักเกณฑ์ที่วางไว้ ทำให้ไม่สามารถต่อใบประกอบโรคศิลป์ และไม่มีสิทธิทำการรักษาผู้ป่วยได้อีก
“เรื่องดังกล่าวเป็นความเข้าใจผิด โดยเรื่องดังกล่าวเป็นคำตัดสินร่วมกันของคณะแพทย์ และองค์กรของมหาวิทยาลัย ต้องทำตามมาตรฐานวิชาชีพ และหลักจริยธรรม ว่า ผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาที่ได้มาตรฐานและปลอดภัยที่สุด ซึ่งการปิดหน่วยบริการจะทำเป็นการชั่วคราวจนกว่าจะได้ข้อสรุปถึงแนวทางที่ปลอดภัยอย่างชัดเจน ซึ่งโรคดังกล่าวไม่ใช่โรคฉุกเฉินร้ายแรง ส่วนใหญ่เป็นโรคเรื้อรังที่เป็นมากว่า 10 ปีแล้ว จึงต้องรอความชัดเจนเรื่องความปลอดภัยก่อน และไม่กังวลหากจะมีการฟ้องศาลปกครอง เพราะทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ สามารถอธิบายได้” ผศ.นพ.ประตาป กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มประชาชนจำนวน 13 ราย ได้เข้าชื่อ ยื่นฟ้องคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ต่อศาลปกครอง เนื่องจากเมื่อวันที่ 14 ต.ค.ที่ผ่านมา คณะเวชศาสตร์ฯ ได้ออกคำสั่งยุติการรักษาหน่วยรักษาโรคบวมน้ำเหลืองด้วยวิธีภูษาบำบัด และการขันชะเนาะ ทำให้ผู้ป่วยกว่า 2 พันคนได้รับผลกระทบโดยไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม
ล่าสุด ผศ.นพ.ประตาป สิงหศิวานนท์ คณบดีเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยามหิดล กล่าวถึงกรณีดังกล่าว ว่า ในความจริงเรื่องนี้เป็นการลงความเห็นร่วมกันขององค์การแพทย์ของมหาวิทยาลัย เนื่องจากพบประเด็นที่อาจส่งผลต่อมาตรฐานการรักษาของผู้ป่วย และผิดต่อจริยธรรม ซึ่งอาจจะเกิดอันตรายต่อผู้ป่วยได้ จึงจำเป็นต้องยุติการรักษาดังกล่าวชั่วคราว โดยจุดเริ่มต้นของการรักษาหน่วยดังกล่าว ทำเพื่อรักษาผู้ป่วยโรคน้ำเหลืองที่เกิดจากโรคเท้าช้าง ซึ่งทำให้ระบบน้ำเหลืองไม่สามารถไหลย้อนกลับเข้าเส้นเลือดตามปกติ จนทำให้เกิดการอักเสบ ตีบตันและเท้าโต แต่พบว่า แพทย์ผู้ทำการรักษา นำวิธีการดังกล่าวไปรักษาในผู้ป่วยที่มีอาการบวมน้ำเหลืองจากโรคอื่นๆ ร่วมด้วย ซึ่งจำเป็นต้องผ่านคณะกรรมการจริยธรรมก่อน เพราะบางครั้ง อาจเกิดผลกระทบต่อเนื่องและเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยได้ นอกจากนี้ แพทย์ผู้การรักษา จะได้รับการต่อใบประกอบโรคศิลป์เป็นรายปีจากสถาบันฯ แต่เนื่องจากแพทย์ ไม่กระทำตามหลักเกณฑ์ที่วางไว้ ทำให้ไม่สามารถต่อใบประกอบโรคศิลป์ และไม่มีสิทธิทำการรักษาผู้ป่วยได้อีก
“เรื่องดังกล่าวเป็นความเข้าใจผิด โดยเรื่องดังกล่าวเป็นคำตัดสินร่วมกันของคณะแพทย์ และองค์กรของมหาวิทยาลัย ต้องทำตามมาตรฐานวิชาชีพ และหลักจริยธรรม ว่า ผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาที่ได้มาตรฐานและปลอดภัยที่สุด ซึ่งการปิดหน่วยบริการจะทำเป็นการชั่วคราวจนกว่าจะได้ข้อสรุปถึงแนวทางที่ปลอดภัยอย่างชัดเจน ซึ่งโรคดังกล่าวไม่ใช่โรคฉุกเฉินร้ายแรง ส่วนใหญ่เป็นโรคเรื้อรังที่เป็นมากว่า 10 ปีแล้ว จึงต้องรอความชัดเจนเรื่องความปลอดภัยก่อน และไม่กังวลหากจะมีการฟ้องศาลปกครอง เพราะทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ สามารถอธิบายได้” ผศ.นพ.ประตาป กล่าว
