วิกฤตน้ำท่วมสะท้อนพฤติกรรมคนไทย มศว.แบ่งคน 7 กลุ่ม คนอาสา คนทำหน้าที่ ผู้ประสบภัย คนเห็นแก่ตัว คนมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ฯลฯ แนะให้มีสติ ตื่นตัวแต่อย่าตื่นกลัว และให้มองปัญหาว่าสามารถคลี่คลายได้เสมอ
ดร.จิตรา ดุษฎีเมธา ประธานโครงการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เปิดเผยว่าผู้คนในสังคมจากเหตุการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้น ทำให้เห็นปรากฏการณ์ทางสังคมมากมาย โดยเฉพาะผู้คนในสังคมที่มีอยู่หลากหลายและสามารถแบ่งได้เป็น 7 ประเภท และแต่ละประเภทต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงตัวเองและต้องแก้ไขตัวเองด้วย มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาสังคมตามมาอีก
1.กลุ่มคนที่เข้าช่วยเหลือ เผื่อแผ่ แป่งปัน แม้ว่าบุคคลที่เขาช่วยจะไม่ใช่ญาติหรือพี่น้อง หรือแม้แต่คนที่เขาไม่ชอบหน้า และแม้ว่าตัวเองจะไม่ประสบกับวิกฤติชะตากรรมนี้ เมื่อเห็นคนอื่นทุกข์ก็จะรีบเข้าไปช่วย ทั้งแรงกาย แรงใจ แรงทรัพย์ อะไรที่สามารถช่วยได้ จะรีบเข้าช่วยเหลือ ด้วยจิตสำนึกมนุษยธรรม วิธีการปรับตัวและแก้ไข บุคคลประเภทนี้ ต้องเตือนตัวเองเรื่องของการทุ่มเทมากเกินไป เพราะการโหมกับบางสิ่งมากเกินไป อาจทำให้ร่างกายทรุด อารมณ์แย่ และกลายมาเป็นกลุ่มเหยื่อแทน ท้ายที่สุดต้องการให้คนอื่นมาดูแลตัวเองแทน ต้องปรับตัวเองด้วยการมีการเปลี่ยนผลัดการทำงานเพื่อส่วนรวม ผลัดเวรกัน เปลี่ยนบทบาทการทำงานลงบ้าง
2.กลุ่มคนที่ต้องทำตามหน้าที่ หรือภาระความรับผิดชอบ ซึ่งต้องทำงานโดยมีภาระหน้าที่และมีจิตใจที่อาสาอยากจะช่วยเหลือ และเห็นความทุกข์ของผู้อื่นก็พร้อมและยินดีเข้าช่วย โดยเก็บเรื่องราวและความทุกข์ของตัวเองไว้ก่อน แต่จะยึดหน้าที่ภาระรับผิดชอบเป็นหลัก วิธีการปรับตัวและแก้ไข จะต้องให้คนกลุ่มนี้มีเวลาพักพร้อมไปกับหาต้นทุนชีวิตให้ตัวเอง เพื่อจะได้มีแรงในการทำงานต่อไป เพราะการทำงานนานๆ และเห็นเหตุการณ์ใดๆ นานๆจะทำให้เกิดอาการล้า เหนื่อย และบางคนอาจจะคิดต่อไปว่า หน้าที่ก็ต้องทำ ตัวเองและครอบครัวยังเอาตัวไม่รอด จึงอยากให้กลุ่มคนกลุ่มนี้ได้พัก หาสิ่งที่เติมเต็มให้ตัวเองก่อน เพื่อจะได้มีแรงเติมเต็มในการทำงานต่อไป
3.กลุ่มคนที่ร่วมด้วยช่วยกัน โดยเมื่อเราทุกข์ก็เห็นทุกข์ของคนอื่น จะช่วยกันประคับประคองกันและกัน ช่วยเหลืออะไรได้ก็จะช่วย ทำอะไรก็จะทำ และบุคคลกลุ่มนี้จะคิดว่าไม่ใช่ตัวเองคนเดียวที่ทุกข์ คนอื่นก็ทุกข์และประสบชะตากรรมเดียวกับเรา เขาจึงมีกำลังใจที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับผู้อื่น วิธีการปรับตัวและแก้ไขต้องกระทำตนให้เป็นทั้งผู้ให้และผู้รับ หากรู้สึกแย่ก็พร้อมรับกำลังใจ หากพอจะประคับประคองใจได้ ก็ร่วมเป็นกำลังใจให้ผู้อื่น อยากให้บุคคลกลุ่มนี้เติมใจแกร่ง ดูแลตัวเองให้รอด เก็บแรงไว้เพื่อสร้างขึ้นมาใหม่ในวันข้างหน้าเพราะไม่ใช่ตัวเราคนเดียวที่ได้รับชะตากรรมนี้
4.กลุ่มคนที่เอาตัวเองให้รอด เอาตัวเองให้พ้นคนอื่นเป็นอย่างไรไม่สนใจ แต่ตัวเองต้องไม่เป็นอะไรและเมื่อเขารอดค่อยว่ากันว่าจะทำอย่างไรต่อ กลุ่มคนประเภทนี้ถ้ามีใครเข้ามาช่วยเขาก็จะขอบคุณ แต่ถ้าใครรุกล้ำก็จะเดือดดาล หากตัวเขาเองเป็นอะไรไปหรือต้องประสบชะตากรรม เขาจะไม่ยอมและจะพยายามให้คนอื่นเป็นอย่างเขาด้วย วิธีการปรับตัวและแก้ไข คนกลุ่มนี้ต้องรู้จักคำว่า “เรา” ให้มากกว่า “ฉัน” คนกลุ่มนี้ต้องฝึกตั้งสติ ดับอารมณ์การสูญเสียลงบ้าง โดยเฉพาะคำพูดที่อยู่ในตัวตนที่ว่า ทำไมฉันต้องโดนทำไมบ้านฉันต้องโดนน้ำท่วม ทำไมคนอื่นไม่โดนอย่างฉัน ลดการคิดที่จะพูดว่า ฉันต้องได้ ฉันต้องรอด และต้องฝึกเสียสละ ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับผู้อื่นเพื่อจะร่วมกันสร้างสุขร่วมกับผู้อื่นบ้าง
5.กลุ่มคนที่ยังไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้น แต่ผวาวิตกกังวลจริต คิดไปต่างๆ นานา ในด้านลบด้านร้าย พร้อมยังแตกตื่นหรือตื่นตูมกับทุกเรื่องที่ร้ายๆ ได้ยินได้ฟังข่าวสารต่างๆ จิตเตลิดตลอดเวลา วิธีการปรับตัวและแก้ไขให้เลิกรับรู้เรื่องราวข่าวสารต่างๆ เปลี่ยนเรดาร์สายตา ดูเรื่องดี ฟังเรื่องบวก อื่นๆ บ้าง เพื่อลดอาการรน แปลงความตระหนกตกใจ เป็นหาอะไรทำเพื่อป้องกัน ให้รู้สึกว่าได้ทำอะไรเพื่อคลายล็อคความรู้สึกแย่
6.กลุ่มคนที่ยังไม่ได้รับผลกระทบใดๆ แต่ตั้งตัว ตั้งสติ เตรียมตัว เตรียมพร้อมเพื่อรับมืออย่างตื่นตัวแต่ไม่ได้ตื่นกลัว หรือทำให้แตกตื่น และตื่นตระหนก คิดแก้ปัญหาหาทางออกเพื่อรับมือกับสถานการณ์ วิธีการปรับตัวและแก้ไขกลุ่มตื่นตัว ตั้งสติ กลุ่มนี้ ให้เก็บใจ เก็บแรง เก็บกายไว้ เพื่อเป็นตัวแบบ และเป็นหลักให้กับกลุ่มอื่นด้วย มีเวลาพักให้กับตนเอง และช่วยเป็นแรงเสริมให้กลุ่มอื่นๆ บ้าง
7.กลุ่มคนที่ไม่พายแต่เอาน้ำราน้ำตลอดเวลา วิพากษ์วิจารณ์คนอื่น เอาแต่พูด เหน็บหาเรื่องตำหนิได้เสมอ พร้อมทำให้สังคมแตกแยก คนกลุ่มนี้จะสนุกกับการทำให้ผู้อื่นตื่นตระหนก ชอบขยายเชื่อมโยงเนื้อหาสาระข้อมูลข่าวสาร แต่ไม่ได้ช่วยทำให้สถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้น มีแต่จะนั่งดูและพูดถึงคนอื่นในด้านลบอย่างเดียว วิธีการปรับตัวและแก้ไข ให้พูดน้อย ทำให้มาก เปลี่ยนการเสียดสี มาเป็นจิตอาสา เอาแรงมาปลอบขวัญคนดีกว่า เอามือเขียนสิ่งสร้างสรรค์ ส่งเสริมกำลังใจคนไทยในประเทศกันดีกว่า เพราะตอนนี้ เป็นเวลาช่วยกันมากกว่าจะโทษกัน
ดร.จิตรา กล่าวว่า สำคัญมากในช่วงนี้ สำหรับทุกคน ทุกกลุ่ม คือ กายต้องรอด ต้องไม่เจ็บป่วย ใจต้องแกร่ง คือ จิตไม่ตก เพราะหากไม่มีแรง กาย แรงใจ เราจะไม่สามารถมองไกลไปถึงวันหน้าได้ อยากให้คนไทยทุกคนโดยเฉพาะผู้ที่ต้องประสบกับปัญหาอุทกภัยรู้จักตื่นตัว แทนการตื่นกลัว ตั้งสติให้ได้ แทนสติแตกแล้วมองปัญหาว่าสามารถคลี่คลายได้เสมอ