เมื่อเอ่ยถึง “กุลกา” (อ่านออกเสียงว่า กุน-ละ-กา) น้อยคนที่จะรู้จัก หรือแม้แต่อาจจะไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำ แต่หากบอกถึงส่วนผสมของมันแล้วละก็ ร้อยทั้งร้อยก็ต้องร้อง “อ๋อ” เพราะเป็นสมุนไพรไทยพื้นบ้านของเรานี่เอง โดยยาตำรับนี้เป็นยาที่ใช้กันมาแต่โบร่ำโบราณ แต่ทุกวันนี้กลับเลือนหายไปตามกาลเวลาอย่างน่าเสียดาย
ล่าสุด ในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ที่จัดไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา บูธโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้จัดโซนสมุนไพรเป็นยาชนิดต่างๆ อย่างหลากหลายและน่าสนใจยิ่ง หนึ่งในนั้นที่มีคนกลุ้มรุมลองชิมและสอบถามรายละเอียดกันอยู่ตลอดเวลา นั่นก็คือ “ซุ้มยอ” นั่นเอง โดยมีแพทย์แผนไทยผู้เชี่ยวชาญและเจ้าหน้าที่ผู้มีความรู้บอกกล่าวรายละเอียดและสรรพคุณของทั้งยอดองน้ำผึ้ง ยอดองน้ำตาล แต่สำหรับพระเอกของซุ้มนี้จะเป็นอะไรไปมิได้นอกจากเจ้ายาชื่อแปลกหูอย่าง “กุลกา” นั่นเอง
ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว แห่งโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เกริ่นนำถึงภูมิปัญญาโบราณของยากุลกา ว่า เป็นยากวนที่ใช้ “ยอ” เป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งการนำยอมาใช้เป็นยานี้ไทยโบราณทำกันกว้างขวางและหลากหลาย โดยจากการศึกษาพบว่าในภาคกลางนำยอมาดองกับเกลือ และมีบางภูมิภาคนำไปดองกับน้ำผึ้ง ใช้กินเป็นยาอายุวัฒนะ
“ยาอายุวัฒนะของคนโบราณนี้เป็นยาจำพวกทำให้กินได้ นอนหลับ ระบายคล่อง การใช้ยอเป็นยานี้มีมานานแล้ว แต่ตำรับกุลกาของเจ้าพระยาอภัยฯ จะต่างออกไปนิดหน่อยที่มีการลงคาถา แล้วก็ใช้ข้าวข้างบาตร คือ ข้าวที่ตกหล่นระหว่างใส่บาตรมาผสมด้วย ตอนแรกก่อนหน้านี้ก็ทำสาธิตและจำหน่ายในงานร้อยปีอาคารเจ้าพระยาฯ แต่วันนั้นมีคนเป็นลม แล้วก็ได้กินยากุลกา ปรากฏว่า ดีขึ้นภายใน 5 นาที ทำให้มีคนสนใจมาก แล้วก็มีเสียงเรียกร้องให้ทำเพิ่ม ก็ทำขายในราคาเท่าทุน แต่ก็ทั้งขายทั้งแจกสูตรแบบไม่หวง ถ้าใครมีเวลาทำ คุณป้าจะให้สูตรเอาไปทำเองได้เลย เป็นการกระจายภูมิปัญญาและสืบสานให้คงอยู่ต่อไป”
ด้านผู้ที่ถูกพูดถึงอย่าง “คุณป้าบุญทัน โสมศรีแก้ว” ในฐานะหลานตาของเจ้าพระยาอภัยภูเบศรและผู้สืบทอดวิชาทั้งตำราอาหารสุขภาพและตำรับยาโบราณน่าสนใจของท่านเจ้าพระยาฯ เอาไว้อย่างมากมาย เปิดเผยว่า ยากุลกาตำรับดังกล่าวถูกคิดค้นโดยเจ้าพระยาอภัยภูเบศร โดยมีที่มาจากการที่ท่านมีทหารในความดูแลมากมาย เวลาเดินเท้าไปทำศึกในสมัยโบราณต้องเดินกันเป็นเดือนๆ กรำแดดกรำฝน ผ่านป่ารกทึบที่มีไข้ป่ามากมาย หลายครั้งที่มีทหารป่วยไข้ อ่อนแอ เป็นลม ท่านจึงคิดสูตรยาบำรุงร่างกายทหารในความดูแลของท่าน
“ส่วนผสมหาไม่ยาก ทำได้เองในบ้าน ใช้ยอสุก 3 กก.,พริกไทยตากแห้งตำละเอียด 3 กก., ข้าวข้างบาตร 3 ฝ่ามือ และน้ำตาลทรายแดงอีก 3 กก.วิธีทำ คือ สับยอให้ละเอียด ตำพริกไทยให้ละเอียด เอาข้าวข้างบาตรใส่ลงไป จากนั้นคลุกแล้วเติมน้ำตาลทรายแดงลงไปหมัก 3 วัน”
ผู้สืบทอดตำรับยากุลการายนี้ อธิบายเพิ่มเติมว่า ที่พิเศษแบบฉบับเจ้าพระยาอภัยภูเบศรนั้น ระหว่างการหมัก 3 วันนั้นต้องมีการบริกรรมคาถากำกับด้วยทุกวัน เริ่มจากบทนะโม 3 จบ ตามด้วยชุมนุมเทวดาอีก 1 จบ จากนั้นบริกรรมพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ อย่างละ 1 จบ และปิดท้ายด้วยบทสวดทวัตติงสาการะปาโฐ 3-7 จบ บริกรรมทั้งหมดนี้เช้า-เย็น จนครบ 3 วัน แล้วนำตัวยาไปจากให้แห้งดี จากนั้นนำมาปั้นเป็นลูกกลอน เป็นอันเสร็จกระบวนความ เวลากินให้กินครั้งละ 2 เม็ด
“กินเป็นยาบำรุงประจำก็ได้ เพราะยอก็เป็นสมุนไพรบำรุงสุขภาพอยู่แล้ว หรือกินเป็นยารักษาแก้ลมวิงเวียนหน้ามืดก็ได้ผลดี กินแล้วขับเหงื่อ ขับลมให้สบายเนื้อสบายตัว ยิ่งถ้าเป็นลมจะช่วยให้อาการดีขึ้นได้ไวมาก” คุณป้าบุญทัน ทิ้งท้าย
ล่าสุด ในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ที่จัดไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา บูธโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้จัดโซนสมุนไพรเป็นยาชนิดต่างๆ อย่างหลากหลายและน่าสนใจยิ่ง หนึ่งในนั้นที่มีคนกลุ้มรุมลองชิมและสอบถามรายละเอียดกันอยู่ตลอดเวลา นั่นก็คือ “ซุ้มยอ” นั่นเอง โดยมีแพทย์แผนไทยผู้เชี่ยวชาญและเจ้าหน้าที่ผู้มีความรู้บอกกล่าวรายละเอียดและสรรพคุณของทั้งยอดองน้ำผึ้ง ยอดองน้ำตาล แต่สำหรับพระเอกของซุ้มนี้จะเป็นอะไรไปมิได้นอกจากเจ้ายาชื่อแปลกหูอย่าง “กุลกา” นั่นเอง
ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว แห่งโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เกริ่นนำถึงภูมิปัญญาโบราณของยากุลกา ว่า เป็นยากวนที่ใช้ “ยอ” เป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งการนำยอมาใช้เป็นยานี้ไทยโบราณทำกันกว้างขวางและหลากหลาย โดยจากการศึกษาพบว่าในภาคกลางนำยอมาดองกับเกลือ และมีบางภูมิภาคนำไปดองกับน้ำผึ้ง ใช้กินเป็นยาอายุวัฒนะ
“ยาอายุวัฒนะของคนโบราณนี้เป็นยาจำพวกทำให้กินได้ นอนหลับ ระบายคล่อง การใช้ยอเป็นยานี้มีมานานแล้ว แต่ตำรับกุลกาของเจ้าพระยาอภัยฯ จะต่างออกไปนิดหน่อยที่มีการลงคาถา แล้วก็ใช้ข้าวข้างบาตร คือ ข้าวที่ตกหล่นระหว่างใส่บาตรมาผสมด้วย ตอนแรกก่อนหน้านี้ก็ทำสาธิตและจำหน่ายในงานร้อยปีอาคารเจ้าพระยาฯ แต่วันนั้นมีคนเป็นลม แล้วก็ได้กินยากุลกา ปรากฏว่า ดีขึ้นภายใน 5 นาที ทำให้มีคนสนใจมาก แล้วก็มีเสียงเรียกร้องให้ทำเพิ่ม ก็ทำขายในราคาเท่าทุน แต่ก็ทั้งขายทั้งแจกสูตรแบบไม่หวง ถ้าใครมีเวลาทำ คุณป้าจะให้สูตรเอาไปทำเองได้เลย เป็นการกระจายภูมิปัญญาและสืบสานให้คงอยู่ต่อไป”
ด้านผู้ที่ถูกพูดถึงอย่าง “คุณป้าบุญทัน โสมศรีแก้ว” ในฐานะหลานตาของเจ้าพระยาอภัยภูเบศรและผู้สืบทอดวิชาทั้งตำราอาหารสุขภาพและตำรับยาโบราณน่าสนใจของท่านเจ้าพระยาฯ เอาไว้อย่างมากมาย เปิดเผยว่า ยากุลกาตำรับดังกล่าวถูกคิดค้นโดยเจ้าพระยาอภัยภูเบศร โดยมีที่มาจากการที่ท่านมีทหารในความดูแลมากมาย เวลาเดินเท้าไปทำศึกในสมัยโบราณต้องเดินกันเป็นเดือนๆ กรำแดดกรำฝน ผ่านป่ารกทึบที่มีไข้ป่ามากมาย หลายครั้งที่มีทหารป่วยไข้ อ่อนแอ เป็นลม ท่านจึงคิดสูตรยาบำรุงร่างกายทหารในความดูแลของท่าน
“ส่วนผสมหาไม่ยาก ทำได้เองในบ้าน ใช้ยอสุก 3 กก.,พริกไทยตากแห้งตำละเอียด 3 กก., ข้าวข้างบาตร 3 ฝ่ามือ และน้ำตาลทรายแดงอีก 3 กก.วิธีทำ คือ สับยอให้ละเอียด ตำพริกไทยให้ละเอียด เอาข้าวข้างบาตรใส่ลงไป จากนั้นคลุกแล้วเติมน้ำตาลทรายแดงลงไปหมัก 3 วัน”
ผู้สืบทอดตำรับยากุลการายนี้ อธิบายเพิ่มเติมว่า ที่พิเศษแบบฉบับเจ้าพระยาอภัยภูเบศรนั้น ระหว่างการหมัก 3 วันนั้นต้องมีการบริกรรมคาถากำกับด้วยทุกวัน เริ่มจากบทนะโม 3 จบ ตามด้วยชุมนุมเทวดาอีก 1 จบ จากนั้นบริกรรมพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ อย่างละ 1 จบ และปิดท้ายด้วยบทสวดทวัตติงสาการะปาโฐ 3-7 จบ บริกรรมทั้งหมดนี้เช้า-เย็น จนครบ 3 วัน แล้วนำตัวยาไปจากให้แห้งดี จากนั้นนำมาปั้นเป็นลูกกลอน เป็นอันเสร็จกระบวนความ เวลากินให้กินครั้งละ 2 เม็ด
“กินเป็นยาบำรุงประจำก็ได้ เพราะยอก็เป็นสมุนไพรบำรุงสุขภาพอยู่แล้ว หรือกินเป็นยารักษาแก้ลมวิงเวียนหน้ามืดก็ได้ผลดี กินแล้วขับเหงื่อ ขับลมให้สบายเนื้อสบายตัว ยิ่งถ้าเป็นลมจะช่วยให้อาการดีขึ้นได้ไวมาก” คุณป้าบุญทัน ทิ้งท้าย