3 พรรคการเมืองวาดฝันนโยบายแก้ปัญหาการศึกษาชาติ ปชป.เตรียมพลิกการศึกษากลับสู่ชุมชน ปลดล็อกกฎระเบียบการศึกษา กระจายอำนาจลงสู่โรงเรียน ชุมชน ขณะที่ เพื่อไทย บูรณาการองค์ความรู้ ครู และเทคโนโลยีพลิกฟื้นชาติด้วยการศึกษา ส่วน รักษ์สันติ เน้นพัฒนาคุณภาพเด็ก สถานศึกษา สร้างครูพันธุ์คุณภาพ หวังใช้การศึกษาสร้างคนติดดิน
วันนี้ (20 มิ.ย.) ที่ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (มธบ.) จัดเสวนานโยบายการศึกษาของพรรคการเมือง เรื่อง “การศึกษาหลังเลือกตั้ง : มีหวังหรือหมดหวัง” โดยมี ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน ผู้แทนพรรคประชาธิปัตย์ , ศ.(พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรชน์ ผู้แทนพรรคเพื่อไทย และ รศ.ดร.มาณี ไชยธีรานุวัฒศิริ ผู้แทนพรรครักษ์สันติ เข้าร่วมเสวนา
ศ.ดร.กนก ผู้แทนพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า นโยบายการศึกษาไม่ใช่เป็นสิ่งที่เพ้อฝัน หรือคำพูดที่สวยหรู แต่ต้องเป็นสิ่งที่สามารถแก้ไขปัญหาได้จริงๆ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ถือว่าการศึกษาเป็นการลงทุนที่เกี่ยวกับทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญ และต้องเริ่มตั้งแต่เกิดไปจนถึงตลอดชีวิต
“นโยบายทางด้านการศึกษาเน้นพัฒนาคุณภาพ และขยายโอกาส โดยเฉพาะการพัฒนาครู ถือเป็นหัวใจหลักของการพัฒนาคุณภาพการศึกษา จะเน้นสร้างครูที่มีแรงบันดาลใจ มีความตั้งใจจริง เป็นผู้ถ่ายทอดวิชาที่ดี และมีเทคนิคการสอนที่ดี เพื่อพัฒนาให้เด็กคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น รวมถึงการเป็นคนดีมีศีลธรรมก่อให้เกิดความรับผิดชอบต่อประเทศ และต้องพลิกการศึกษากลับสู่ชุมชน ทำให้คนติดดิน กลับสู่ชุมชนของตัวเองมากขึ้น ฟื้นระบบนิเทศก์ศึกษา ปลดล็อกกฎระเบียบการศึกษา กระจายอำนาจลงสู่โรงเรียน ชุมชน โดยทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน ฉะนั้น 4 ปี หากพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล จะสร้างคนเพื่อหลักประกันความยั่งยืนของประเทศ”
ด้าน ศ.พิเศษ ดร.ภาวิช ผู้แทนพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า นโยบายของพรรคเพื่อไทย มุ่งเน้นพัฒนา 7 ด้าน ได้แก่ 1.พัฒนาคุณภาพการศึกษา ที่ตอนนี้ถือว่าป่วยหนักอย่างมาก 2.สร้างโอกาสทางการศึกษา 3.ปฏิรูปครู ทำให้ครูมีคุณภาพ ยกระดับวิชาชีพครูให้เป็นวิชาชีพชั้นสูง เทียบเท่าตุลาการ 4.การมีงานทำของบัณฑิตที่จบออกมาก 5.นำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาการศึกษา เพราะตอนนี้มีการใช้ศักยภาพด้านนี้น้อยมาก ทั้งที่การนำเทคโนโลยีมาใช้ช่วยเปลี่ยนกระบวนทัศน์การเรียนการสอนได้เป็นอย่างดี 6.พัฒนาโครงสร้างระบบกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีปัญหาอยู่มาก กระจายโอกาสไม่ได้คืนโรงเรียนสู่ชุมชนอย่างแท้จริง และ 7.เพิ่มทุนทางปัญหาแก้ชาติ ซึ่งมุ่งเน้นไปที่มหาวิทยาลัยให้ผลิตคน ศึกษาวิจัย เพื่อสร้างปัญญานำมาประยุกต์ใช้เกิดเป็นนวัตกรรมที่จะนำมาใช้พัฒนาเศรษฐกิจ และประเทศต่อไป
“การนำองค์ความรู้ ครู และเทคโนโลยีมาบูรณาการร่วมกันทำให้เกิดการเรียนรู้ในระบบการศึกษาอย่างแท้จริง ซึ่งสิ่งที่พรรคเพื่อไทยได้วางแนวทางไว้นั้น เชื่อมั่นว่าภายใน 2 ปีแรก หรือ 6เดือน จะช่วยพลิกฟื้นชาติด้วยการศึกษา เกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
ขณะที่ รศ.ดร.มาณี ผู้แทนพรรครักษ์สันติ กล่าวว่า พรรคของตนแม้จะเป็นพรรคใหม่ แต่คนในพรรคส่วนใหญ่ก็เป็นครู เป็นคนในวงการศึกษา นโยบายของพรรคยึดตาม พ.ร.บ.การศึกษาของชาติ ที่เน้นพัฒนาคุณภาพเด็ก สถานศึกษา ครูที่ต้องผลิตคนที่มีคุณภาพ หลักสูตรการเรียนรู้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานไปจนถึงอุดมศึกษา
“เราต้องให้ความสำคัญการศึกษานอกระบบ ศูนย์เรียนรู้ต่างๆ ในชุมชน เพื่อให้เกิดการพัฒนาชุมชน และเพิ่มคุณภาพเด็กชนบท ทั้งนี้ สำหรับการพัฒนาครูนั้น จะเน้นสร้างครูพันธุ์คุณภาพ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นครูพันธุ์ใหม่ หรือครูพันธุ์เก่า แต่ครูทุกคนต้องมีคุณภาพ พัฒนาหลักสูตรที่เน้นการจัดการเรียนรู้ทางวิชาการ และให้กิจกรรมเป็นตัวเสริม เพื่อให้เด็กเป็นคนเก่ง ควบคู่กับการปลูกฝังจิตสำนึกเพื่อสังคมไปในตัว อย่างไรก็ตาม พรรครักษ์สันติ ต้องการให้การศึกษาเป็นการสร้างคนติดดิน เด็กไทยยุคใหม่ต้องคิดเป็น กลับสู่ชุมชนแล้ว ต้องมีความซื่อตรง มีจิตอาสาเพื่อสังคมด้วย”
วันนี้ (20 มิ.ย.) ที่ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (มธบ.) จัดเสวนานโยบายการศึกษาของพรรคการเมือง เรื่อง “การศึกษาหลังเลือกตั้ง : มีหวังหรือหมดหวัง” โดยมี ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน ผู้แทนพรรคประชาธิปัตย์ , ศ.(พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรชน์ ผู้แทนพรรคเพื่อไทย และ รศ.ดร.มาณี ไชยธีรานุวัฒศิริ ผู้แทนพรรครักษ์สันติ เข้าร่วมเสวนา
ศ.ดร.กนก ผู้แทนพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า นโยบายการศึกษาไม่ใช่เป็นสิ่งที่เพ้อฝัน หรือคำพูดที่สวยหรู แต่ต้องเป็นสิ่งที่สามารถแก้ไขปัญหาได้จริงๆ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ถือว่าการศึกษาเป็นการลงทุนที่เกี่ยวกับทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญ และต้องเริ่มตั้งแต่เกิดไปจนถึงตลอดชีวิต
“นโยบายทางด้านการศึกษาเน้นพัฒนาคุณภาพ และขยายโอกาส โดยเฉพาะการพัฒนาครู ถือเป็นหัวใจหลักของการพัฒนาคุณภาพการศึกษา จะเน้นสร้างครูที่มีแรงบันดาลใจ มีความตั้งใจจริง เป็นผู้ถ่ายทอดวิชาที่ดี และมีเทคนิคการสอนที่ดี เพื่อพัฒนาให้เด็กคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น รวมถึงการเป็นคนดีมีศีลธรรมก่อให้เกิดความรับผิดชอบต่อประเทศ และต้องพลิกการศึกษากลับสู่ชุมชน ทำให้คนติดดิน กลับสู่ชุมชนของตัวเองมากขึ้น ฟื้นระบบนิเทศก์ศึกษา ปลดล็อกกฎระเบียบการศึกษา กระจายอำนาจลงสู่โรงเรียน ชุมชน โดยทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน ฉะนั้น 4 ปี หากพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล จะสร้างคนเพื่อหลักประกันความยั่งยืนของประเทศ”
ด้าน ศ.พิเศษ ดร.ภาวิช ผู้แทนพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า นโยบายของพรรคเพื่อไทย มุ่งเน้นพัฒนา 7 ด้าน ได้แก่ 1.พัฒนาคุณภาพการศึกษา ที่ตอนนี้ถือว่าป่วยหนักอย่างมาก 2.สร้างโอกาสทางการศึกษา 3.ปฏิรูปครู ทำให้ครูมีคุณภาพ ยกระดับวิชาชีพครูให้เป็นวิชาชีพชั้นสูง เทียบเท่าตุลาการ 4.การมีงานทำของบัณฑิตที่จบออกมาก 5.นำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาการศึกษา เพราะตอนนี้มีการใช้ศักยภาพด้านนี้น้อยมาก ทั้งที่การนำเทคโนโลยีมาใช้ช่วยเปลี่ยนกระบวนทัศน์การเรียนการสอนได้เป็นอย่างดี 6.พัฒนาโครงสร้างระบบกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีปัญหาอยู่มาก กระจายโอกาสไม่ได้คืนโรงเรียนสู่ชุมชนอย่างแท้จริง และ 7.เพิ่มทุนทางปัญหาแก้ชาติ ซึ่งมุ่งเน้นไปที่มหาวิทยาลัยให้ผลิตคน ศึกษาวิจัย เพื่อสร้างปัญญานำมาประยุกต์ใช้เกิดเป็นนวัตกรรมที่จะนำมาใช้พัฒนาเศรษฐกิจ และประเทศต่อไป
“การนำองค์ความรู้ ครู และเทคโนโลยีมาบูรณาการร่วมกันทำให้เกิดการเรียนรู้ในระบบการศึกษาอย่างแท้จริง ซึ่งสิ่งที่พรรคเพื่อไทยได้วางแนวทางไว้นั้น เชื่อมั่นว่าภายใน 2 ปีแรก หรือ 6เดือน จะช่วยพลิกฟื้นชาติด้วยการศึกษา เกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
ขณะที่ รศ.ดร.มาณี ผู้แทนพรรครักษ์สันติ กล่าวว่า พรรคของตนแม้จะเป็นพรรคใหม่ แต่คนในพรรคส่วนใหญ่ก็เป็นครู เป็นคนในวงการศึกษา นโยบายของพรรคยึดตาม พ.ร.บ.การศึกษาของชาติ ที่เน้นพัฒนาคุณภาพเด็ก สถานศึกษา ครูที่ต้องผลิตคนที่มีคุณภาพ หลักสูตรการเรียนรู้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานไปจนถึงอุดมศึกษา
“เราต้องให้ความสำคัญการศึกษานอกระบบ ศูนย์เรียนรู้ต่างๆ ในชุมชน เพื่อให้เกิดการพัฒนาชุมชน และเพิ่มคุณภาพเด็กชนบท ทั้งนี้ สำหรับการพัฒนาครูนั้น จะเน้นสร้างครูพันธุ์คุณภาพ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นครูพันธุ์ใหม่ หรือครูพันธุ์เก่า แต่ครูทุกคนต้องมีคุณภาพ พัฒนาหลักสูตรที่เน้นการจัดการเรียนรู้ทางวิชาการ และให้กิจกรรมเป็นตัวเสริม เพื่อให้เด็กเป็นคนเก่ง ควบคู่กับการปลูกฝังจิตสำนึกเพื่อสังคมไปในตัว อย่างไรก็ตาม พรรครักษ์สันติ ต้องการให้การศึกษาเป็นการสร้างคนติดดิน เด็กไทยยุคใหม่ต้องคิดเป็น กลับสู่ชุมชนแล้ว ต้องมีความซื่อตรง มีจิตอาสาเพื่อสังคมด้วย”