คสช.เห็นชอบ ร่างไม่ประสงค์รับการรักษา เพื่อยืดการตาย เหตุยุติการทรมาน โดยจะกำหนดหลักเกณฑ์และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ด้านมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ รับมาตรการสังคมไทยไร้แร่ใยหิน เพื่อเสนอ ครม.เหตุก่อให้เกิดมะเร็งปอด พร้อมลดภาษีนำเข้าสารทดแทน
วันนี้ (25 ก.พ.) เวลา 09.30 น.ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) ครั้งที่ 1/2554 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผลการประชุมสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
ที่ประชุม คสช.เห็นชอบร่างแนวทางการปฏิบัติงานของสถานบริการสาธารณสุข ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขและเจ้าหน้าที่ของสถานบริการสาธารณสุข ตามกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการ สาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย พ.ศ. .... มาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ (พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 ในมาตรา 12 ให้สิทธิแก่ประชาชนในการปฏิเสธการรักษาที่เป็นไปเพียงเพื่อ “ยืดการตาย” ในวาระสุดท้ายของชีวิตตนได้ โดยต้องทำตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง ) และมอบเลขาธิการ คสช.ออกประกาศกำหนดแนวทางการปฏิบัติงาน และประกาศในราชกิจจานุเบกษา ตามความในข้อ 7 ของกฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวารสุดท้ายของชีวิต หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย พ.ศ.2553 ต่อไป
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมเห็นชอบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ “มาตรการทำให้สังคมไทยไร้แร่ใยหิน” และยุทธศาสตร์ “การทำให้สังคมไทยไร้แร่ใยหิน” เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบและมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเร่งรัดการดำเนินการตามมติข้างต้นต่อไป โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมควบคุมแร่ใยหินที่เป็นวัตถุดิบ (ไครโซไทล์) ให้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 อย่างเร่งด่วนภายในปี 2554 ซึ่งจะห้ามมิให้มีการผลิต การนำเข้า การส่งออก หรือการมีไว้ในครอบครอง รวมทั้งกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสำหรับสินค้าที่ใช้สารทดแทนแร่ใยหิน ให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบประสานงานกับหน่วยงานเกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ “การทำให้สังคมไทยไร้แร่ใยหิน” และให้กระทรวงมหาดไทยเป็นแกนกลางร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้อง ในการพัฒนามาตรการควบคุมการรื้อถอน ซ่อมแซม ต่อเติมอาคารหรือวัสดุที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบ และกำหนดมาตรการทิ้งขยะแร่ใยหินโดยเฉพาะในกิจการก่อสร้างและการบริการติดตั้ง รวมถึงให้กระทรวงพาณิชย์ ดำเนินการห้ามนำเข้าผลิตภัณฑ์ที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบ และให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ตรวจสอบและประกาศรายชื่อผลิตภัณฑ์ที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบให้สังคมรับรู้ และพิจารณาออกกฎ ระเบียบ หรือกฎหมาย ที่ควบคุมสินค้าที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบ โดยเฉพาะสินค้าที่มีความเสี่ยงสูง รวมทั้งให้กระทรวงการคลังพิจารณาเพิ่มภาษีนำเข้าแร่ใยหิน และลดภาษีนำเข้าสารทดแทนที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และให้สำนักนายกรัฐมนตรีปรับเพิ่มเกณฑ์เรื่องการก่อสร้างอาคารส่วนราชการ ไม่ให้ใช้วัสดุที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบ โดยให้หน่วยงานเกี่ยวข้องปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในปี 2554
สำหรับแร่ใยหิน นั้น เป็นกลุ่มเส้นใยแร่ซิลิเกต อนุภาคสามารถฟุ้งกระจายสู่ปอด ทำให้เกิดโรคร้ายต่างๆที่เกี่ยวกับปอด เช่น โรคปอดอักเสบจากแอสเบสตอส โรคมะเร็งปอด โรคมะเร็งเยื่อหุ้มปอด มะเร็งเยื่อปุช่องท้อง ซึ่งในแวดวงนักวิชาการในองค์กรสากลทั่วไปยอมรับว่าแร่ใยหินทุกชนิดเป็นสารก่อมะเร็งในคน และมี 57 ประเทศทั่วโลกได้ยกเลิกการใช้แร่ใยหินทุกชนิดแล้ว เช่น อังกฤษ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย เป็นต้น
ขณะเดียวกัน ที่ประชุมยังได้ให้ความเห็นชอบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 3 จำนวน 5 เรื่อง เพื่อนำเสนอ ครม.พิจารณาและรับทราบต่อไป คือ เรื่อง “การควบคุมกลยุทธ์การตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก” มติเรื่อง “นโยบายการเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ” มติเรื่อง “นโยบายการสนับสนุนพื้นที่การจัดการตนเองเพื่อสังคมสุขภาวะ” และมติ “ความเป็นธรรมในการเข้าถึงบริการสุขภาพของคนพิการ” รวมทั้งมติ “การแก้ปัญหาวัยรุ่นไทยกับการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อม” เพื่อมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่เกี่ยวข้องต่อไป