ผอ.พศ.เผย ยังไม่ได้รับการประสานจากเจ้าอาวาสวัดไทยนาลันทา แต่สั่งการให้เจ้าหน้าที่ประสานรองหัวหน้าพระธรรมทูตในอินเดีย เพื่อช่วยชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว ชี้ พศ.ทำได้แค่ให้คำแนะนำ คาด 1-2 สัปดาห์ น่าจะสามารถรู้ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในวัดไทยนาลันทาได้
วันนี้ (23 ก.พ.) นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีพระครูปริยัติธรรมวิเทศ เจ้าอาวาสวัดไทยนาลันทา เมืองปัฏนา รัฐพิหาร สาธารณรัฐอินเดีย ขอให้ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ช่วยประสานไปยังสำนักงาน พศ.ช่วยหาทางออกกรณีศาลสูงเมืองปัฏนา มีคำพิพากษาให้ แม่ชีอารีย์ ผ่องใส เป็นผู้บริหารจัดการวัดแทนเจ้าอาวาส ว่า สำนักงาน พศ.ยังไม่ได้รับการประสานเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวจากพระครูปริยัติธรรมวิเทศ แต่ตนก็ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ประสานไปยังพระราชรัตนรังษี เจ้าอาวาสวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ ในฐานะรองหัวหน้าพระธรรมทูตในอินเดีย ให้ช่วยชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวอย่างละเอียด เนื่องจากมีหลายประเด็นที่ปรากฏเป็นข่าว แต่สำนักงาน พศ.มองว่า มีข้อสงสัยและยังไม่เป็นที่ชัดเจน เช่น เรื่องพินัยกรรมของพระมหาธารทอง อดีตเจ้าอาวาสวัดไทยนาลันทา ว่า มีรายละเอียดและเนื้อหาอย่างไร ที่สำคัญ ในพินัยกรรมระบุชัดเจนหรือไม่ว่า ให้แม่ชีอารีย์ เป็นผู้บริหารจัดการวัดทั้งหมด
นายนพรัตน์ กล่าวว่า ต้องขอชี้แจงอีกครั้งว่าวัดไทยนาลันทา ไม่ได้อยู่ในการดูแลของสำนักงาน พศ.ดังนั้น จะเข้าไปดำเนินการสั่งการ หรือว่าแก้ปัญหาคงทำได้ยาก เพราะการจัดตั้งวัดในต่างประเทศจัดตั้งในรูปแบบมูลนิธิ โดยมองว่ามหาเถรสมาคม (มส.) และสำนักงาน พศ.ทำได้แค่ให้คำปรึกษาและให้คำแนะนำเท่านั้น ทั้งนี้คาดว่าภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ พระราชรัตนรังษี น่าจะสามารถรายงานข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในวัดไทยนาลันทาทั้งหมดได้ เพื่อนำมาเป็นข้อมูลประกอบการให้คำแนะนำให้และช่วยเหลือเท่าที่สำนักงาน พศ.จะกระทำได้
นายนพรัตน์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ปัญหาลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแก้ไขลำบาก เพราะการจดทะเบียนมูลนิธิส่วนใหญ่จะใช้ชื่อฆราวาส อย่างกรณีมีวัดในต่างประเทศที่ดินที่ตั้งวัดมีราคาสูง ประธานมูลนิธิ ซึ่งเป็นฆราวาส ได้ตัดสินใจขายทำให้วัดถูกปิด จนกลายเป็นความขัดแย้งบานปลาย ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายเสนอให้นำปัญหาดังกล่าวเสนอให้ที่ประชุม มส.รับทราบกำหนดแนวทางแก้ไขให้เป็นรูปธรรมนั้น ตนคิดว่าไม่ต้องนำเสนอเพราะ มส.คงทำอะไรไม่ได้ เนื่องจากปัญหาเกิดขึ้นจากการบังคับใช้กฎหมายของประเทศนั้นๆ
ด้านนายอำนาจ บัวศิริ ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม(มส.) กล่าวว่า ที่ผ่านมา ปัญหาเกี่ยวกับวัดไทยในต่างประเทศ ส่วนใหญ่เกิดจากการเปลี่ยนประธานมูลนิธิ การขัดแย้งกับเจ้าของที่ดิน รวมทั้งแบ่งทรัพย์สินของวัดไม่ลงตัว ส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา ซึ่งที่ผ่านมาได้รับรายงานว่าวัดในต่างประเทศมี 4-5 แห่งที่เกิดปัญหาเรื่องการบริหารจัดการวัด โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา ฟินแลนด์ และยุโรป ซึ่งได้ประสานมาให้สำนักงาน พศ.ช่วยเหลือ สำนักงาน พศ.ได้แจ้งกลับไปว่ากฎหมายไทยไม่สามารถเข้าไปแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ ทำได้เพียงแนะนำให้นำปัญหาดังกล่าวหารือในที่ประชุมของมูลนิธิ อย่างก็ตามอยากแนะนำให้วัดไทยในประเทศต่างๆ อย่าวางใจเรื่องอำนาจการบริหารจัดการวัด ควรวางระบบให้รัดกุมและชัดเจนเพื่อป้องกันปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นตามมา
วันนี้ (23 ก.พ.) นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีพระครูปริยัติธรรมวิเทศ เจ้าอาวาสวัดไทยนาลันทา เมืองปัฏนา รัฐพิหาร สาธารณรัฐอินเดีย ขอให้ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ช่วยประสานไปยังสำนักงาน พศ.ช่วยหาทางออกกรณีศาลสูงเมืองปัฏนา มีคำพิพากษาให้ แม่ชีอารีย์ ผ่องใส เป็นผู้บริหารจัดการวัดแทนเจ้าอาวาส ว่า สำนักงาน พศ.ยังไม่ได้รับการประสานเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวจากพระครูปริยัติธรรมวิเทศ แต่ตนก็ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ประสานไปยังพระราชรัตนรังษี เจ้าอาวาสวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ ในฐานะรองหัวหน้าพระธรรมทูตในอินเดีย ให้ช่วยชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวอย่างละเอียด เนื่องจากมีหลายประเด็นที่ปรากฏเป็นข่าว แต่สำนักงาน พศ.มองว่า มีข้อสงสัยและยังไม่เป็นที่ชัดเจน เช่น เรื่องพินัยกรรมของพระมหาธารทอง อดีตเจ้าอาวาสวัดไทยนาลันทา ว่า มีรายละเอียดและเนื้อหาอย่างไร ที่สำคัญ ในพินัยกรรมระบุชัดเจนหรือไม่ว่า ให้แม่ชีอารีย์ เป็นผู้บริหารจัดการวัดทั้งหมด
นายนพรัตน์ กล่าวว่า ต้องขอชี้แจงอีกครั้งว่าวัดไทยนาลันทา ไม่ได้อยู่ในการดูแลของสำนักงาน พศ.ดังนั้น จะเข้าไปดำเนินการสั่งการ หรือว่าแก้ปัญหาคงทำได้ยาก เพราะการจัดตั้งวัดในต่างประเทศจัดตั้งในรูปแบบมูลนิธิ โดยมองว่ามหาเถรสมาคม (มส.) และสำนักงาน พศ.ทำได้แค่ให้คำปรึกษาและให้คำแนะนำเท่านั้น ทั้งนี้คาดว่าภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ พระราชรัตนรังษี น่าจะสามารถรายงานข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในวัดไทยนาลันทาทั้งหมดได้ เพื่อนำมาเป็นข้อมูลประกอบการให้คำแนะนำให้และช่วยเหลือเท่าที่สำนักงาน พศ.จะกระทำได้
นายนพรัตน์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ปัญหาลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแก้ไขลำบาก เพราะการจดทะเบียนมูลนิธิส่วนใหญ่จะใช้ชื่อฆราวาส อย่างกรณีมีวัดในต่างประเทศที่ดินที่ตั้งวัดมีราคาสูง ประธานมูลนิธิ ซึ่งเป็นฆราวาส ได้ตัดสินใจขายทำให้วัดถูกปิด จนกลายเป็นความขัดแย้งบานปลาย ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายเสนอให้นำปัญหาดังกล่าวเสนอให้ที่ประชุม มส.รับทราบกำหนดแนวทางแก้ไขให้เป็นรูปธรรมนั้น ตนคิดว่าไม่ต้องนำเสนอเพราะ มส.คงทำอะไรไม่ได้ เนื่องจากปัญหาเกิดขึ้นจากการบังคับใช้กฎหมายของประเทศนั้นๆ
ด้านนายอำนาจ บัวศิริ ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม(มส.) กล่าวว่า ที่ผ่านมา ปัญหาเกี่ยวกับวัดไทยในต่างประเทศ ส่วนใหญ่เกิดจากการเปลี่ยนประธานมูลนิธิ การขัดแย้งกับเจ้าของที่ดิน รวมทั้งแบ่งทรัพย์สินของวัดไม่ลงตัว ส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา ซึ่งที่ผ่านมาได้รับรายงานว่าวัดในต่างประเทศมี 4-5 แห่งที่เกิดปัญหาเรื่องการบริหารจัดการวัด โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา ฟินแลนด์ และยุโรป ซึ่งได้ประสานมาให้สำนักงาน พศ.ช่วยเหลือ สำนักงาน พศ.ได้แจ้งกลับไปว่ากฎหมายไทยไม่สามารถเข้าไปแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ ทำได้เพียงแนะนำให้นำปัญหาดังกล่าวหารือในที่ประชุมของมูลนิธิ อย่างก็ตามอยากแนะนำให้วัดไทยในประเทศต่างๆ อย่าวางใจเรื่องอำนาจการบริหารจัดการวัด ควรวางระบบให้รัดกุมและชัดเจนเพื่อป้องกันปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นตามมา