โดย...อัจฉรา พุ่มจันทร์ มจษ.
เชื่อได้เลยว่า ที่ผ่านมา หากพูดถึง “อาชีวะ” หรือการเรียนต่อใน “สายอาชีพ” คงยากเหลือเกินที่เห็นภาพพ่อ แม่ผู้ปกครอง แห่นำลูกเข้าสมัครเรียน ด้วยเหตุผลนานัปการ ทั้งในเรื่องของทัศนคติที่ยึดถือแต่ใบปริญญา ด้วยภาพลักษณ์ของเด็กอาชีวะที่ถูกมองด้านลบมาโดยตลอด ในเรื่องของพฤติกรรม การทะเลาะวิวาท ทำให้การหันเหตัวเองมาเรียนทางสายอาชีพจึงกลายเป็นตัวเลือกสุดท้ายเสมอมา
แต่สำหรับยุคปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 นั้น มีการตั้งธงกันไว้แล้วจะต้องเห็นผลรูปธรรมในการสอดแทรกสัดส่วนผู้เรียนระหว่างสายสามัญ และสายอาชีพ จากเดิมอยู่ที่ 60 : 40 ให้พลิกกลับมาอยู่ที่ 40 : 60 ให้ได้ภายในปี 2561 นี้ นั่นหมายถึงโจทย์อันหนักอึ้งที่จะต้องจูงใจ ปรับเปลี่ยนมุมมอง ทั้งเด็ก และผู้ปกครอง ให้กลับมาสนใจเรียนต่อสายอาชีพเป็นตัวเลือกแรก เมื่อเป็นเช่นนั้นสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จึงได้ดีเดย์ เปิดเกมรุกในกิจกรรม เปิดบ้าน “เรียนอาชีวะดี เรียนฟรี มีเงินใช้ ได้งานทำ” ซึ่งเริ่มครั้งแรกที่ จ.เชียงราย เมื่อเร็วๆ นี้
เรื่องนี้ “ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์” เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) ให้เหตุผลว่า ขณะนี้ปริมาณผู้เรียนในสายอาชีวะ มีแนวโน้มลดลง ทำให้ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของสถานประกอบการทั้งภาคอุตสาหกรรม เกษตรและบริการ สาเหตุสำคัญมาจากทัศนคติด้านลบของผู้ปกครองและนักเรียน ซึ่งการจัดงานเปิดบ้านฯ ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสดี ที่จะทำให้ทุกคนรู้จักโลกของอาชีวะมากขึ้น และชัดเจนกับคำว่า “เรียนอาชีวะดี” คือ เรียนสายวิชาชีพ สามารถประกอบอาชีพได้จริง สามารถพัฒนาทักษะที่มีอยู่ในตัวเองสู่สายงานตามความถนัดอย่างต่อเนื่อง “เรียนฟรี” คือ โอกาสทางการศึกษาตามนโยบายเรียนฟรี 15 ปีของรัฐบาล ซึ่งระหว่างเรียนก็ “มีเงินใช้” คือ ผู้เรียนสามารถทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย จากสถานประกอบการ และเมื่อเรียนจบแล้วก็ “ได้งานทำ” ตามความถนัด และศักยภาพของตัวเองทันที ซึ่งยังถือเป็นความต้องการของตลาดแรงงานจำนวนมาก
ขณะที่ “มะยม” - มนตรี ตั้งศรีวงศ์ ศิษย์เก่าจากวิทยาลัยพณิชยการบึงพระ พิษณุโลก ที่สามารถสร้างชื่อให้กับคนพันธ์อา ด้วยการคว้าเหรียญทอง สาขาการบริการอาหารและเครื่องดื่ม world Skills Asean ครั้งที่ 8 และการันตีด้วยรางวัลศิษย์เก่าอาชีวะดีเด่นปี 2554 ได้เปิดมุมมองการเรียนอาชีวะว่า นอกจากความรู้ที่ได้รับแล้ว ทักษะวิชาชีพที่ติดตัวมา ยังสามารถนำไปประกอบอาชีพระหว่างเรียน ทำให้ลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง จนนำไปสู่การต่อยอดความรู้ไปจนถึงระดับผู้บริหาร ผู้ประกอบการได้อีกด้วย
“สำหรับน้องๆ ที่เรียนจบ ม.3 หรือ ม.6 ที่รู้ตัวเองว่า มีความถนัดในสายงานวิชาชีพ ที่จะสามารถได้เรียนรู้ พัฒนาทักษะ ไปสู่ความเป็นเลิศได้นั้น ไม่อยากให้ทิ้งโอกาสตรงนี้ไป เพราะการเรียนอาชีวะจะช่วยเพิ่มศักยภาพในตัวเองให้มากยิ่งขึ้น และแน่นอนว่าตลาดแรงงาน ในสถานประกอบการต่างๆ ยังคงเปิดกว้างรอเราอยู่ การเรียนอาชีวะจึงถือเป็นกุญแจสำคัญไปสู่ความสำเร็จในหน้าที่การงานของเราในอนาคตได้ ไม่ต่างจากคนที่จบปริญญาเลย” ศิษย์เก่าอาชีวะดีเด่นปี 2554 สะท้อนมุมมอง
ไม่ต่างจาก “ปอนด์” - ภานุวิชญ์ สังข์ทอง นักศึกษา ปวช.3 จากวิทยาลัยอาชีวสิงห์บุรี จ.สิงห์บุรี ที่เห็นว่า คนส่วนใหญ่มองว่าสังคมจะยอมรับผู้ที่จบสายสามัญมากกว่า แต่ตอนนี้เชื่อว่าต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่ได้แล้ว เพราะค่านิยม กับความถนัดส่วนตัวนั้นคงเทียบกันไม่ได้ หากมีความถนัด มีความสามารถทางอาชีพเป็นต้นทุนอยู่แล้ว ก็ควรเลือกที่จะมาเรียนทางสายที่ตนถนัดมากกว่า เพราะเมื่อจบไปก็จะได้ทำงานในสายงานที่ชอบ ซึ่งอาชีวะก็สามารถเลือกเรียนได้หลายสาขา อาทิ พานิชยกรรม อุตสาหกรรม หรือ คหกรรม ซึ่งหากมีฝีมือจริงก็ไม่ต้องกลัวเลย เพราะก่อนจบสถานประกอบการก็จะมารอรับเข้าทำงานอยู่แล้ว
ถึงตรงนี้ก็อยู่ที่การตัดสินใจส่วนบุคคล ว่า ชอบด้านใด ซึ่งหากรู้ตัวเองว่าใช่ ถนัดสายงานวิชาชีพ การจะเบนเป้ามาเรียนต่อสายอาชีวะ ก็คงจะกลายเป็นตัวเลือกแรกๆ ได้ และก็ถือเป็นทางเลือกที่ควรค่าแก่การสนับสนุนเสียด้วย...