“นิพิฏฐ์” เผย ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจญ์ เห็นชอบให้เพิ่มโควตาผู้แสวงบุญไทยเมกกะ จาก 13,000 คน เป็น 15,000 คน พร้อมขอเพิ่มเงินวางประกันของคณะผู้แสวงบุญ ด้านปัญหาเรื่องสายการบินก็มีการเพิ่มเที่ยวบินรับ-ส่งจากวันละ1เที่ยวเป็นวันละ 2 เที่ยว
วานนี้(2 ก.พ.) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจญ์แห่งประเทศไทย เมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีมติ ว่า ในปี 2554 นี้ กรมการศาสนา วธ.จะเสนอขอเพิ่มโควตาผู้เดินทางไปแสวงบุญ ที่นครเมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย เพิ่มขึ้น จากเดิมจำนวน 13,000 คน เพิ่มเป็น 15,000 คน เนื่องจากปีนี้เศรษฐกิจภาคใต้เติบโตสูงจากการขายยางราคาดี น่าจะมีผู้ต้องการเดินทางไปแสวงบุญเพิ่มขึ้น โดยเดือนมีนาคมนี้จะมีการสรุปยอดการขอโควตาเพิ่มอีกครั้ง ขณะเดียวกัน จะมีการขอเพิ่มเงินวางประกันของผู้ประกอบการกิจการฮัจญ์ที่นำคณะผู้แสวงบุญเดินทางไปในพิธีฮัจญ์ จากเดิมรายละ 12,500 บาท เพิ่มเป็นรายละ 50,000 บาท เพื่อเป็นการการันตีว่าจะมีผู้แสวงบุญไปอย่างแน่นอน และทำให้ตัวเลขจำนวนผู้แสวงบุญนิ่ง เนื่องจากผู้ประกอบการเก็บเงินจากผู้แสวงบุญมาแล้วคนละ 140,000 บาทต่อคน ก็สามารถนำเงิน 50,000 บาท มาวางประกันได้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
“ถามว่า การเพิ่มวงเงินประกันดังกล่าวมีความเหมาะสมหรือไม่ ผมได้สอบถามไปยังกงสุลฮัจย์แจ้งว่ามา ยังถือว่าเป็นตัวเลขที่น้อย เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เช่น ประเทศอินโดนีเซีย ผู้ประกอบกิจการฮัจญ์ต้องวางเงินประกันสูงถึง 50,000-100,000 บาท ส่วนปัญหาบ้านพักที่คณะอนุกกรรมการบ้านพักผู้แสวงบุญฮัจย์มีเวลาทำงานจำกัดเพียงเดือนเดียวก่อนจะมีพิธีฮัจย์ ทำให้อำนาจต่อรองมีน้อย จึงทำให้ได้บ้านราคาสูงนั้น ที่ประชุมได้มีมติมอบให้กงสุลฮัจย์ในนครเจดดาห์ช่วยดูแลจัดการเรื่องบ้านพักอีกหน่วยงานหนึ่ง เพราะสามารถทำงานได้ตลอดปี สามารถเลือกดูสถานที่ มีการต่อรองราคาบ้านพักให้ถูกลง โดยผู้ประกอบกิจการฮัจญ์สามารถประสานเพื่อเดินทางเช่าบ้านพักผ่านทางกงสุลฮัจญ์ได้เลย” รมว.วธ. กล่าว
นายนิพิฏฐ์ กล่าวต่อว่า สำหรับปัญหาเรื่องสายการบินไม่เพียงพอนั้น ที่ประชุมได้มีมติประสานสายการบินไทยเพิ่มเที่ยวบินรับส่งผู้แสวงบุญจากวันละ 1 เที่ยวบิน เป็นวันละ 2 เที่ยว เพื่อแก้ปัญหาผู้แสวงบุญตกค้าง และยืนยันได้ว่า ผู้แสวงบุญจะสามารถเดินทางกลับประเทศไทยภายใน 45 วันอย่างแน่นอน ทั้งนี้ ในเร็วๆ นี้ ตนจะทำหนังสือถึงกระทรวงคมนาคม เพื่อขอให้สายการบินไทยเป็นสายการบินเดียวรับส่งผู้แสวงบุญฮัจย์ โดยไม่อนุญาตให้สายการบินต่างชาติมาทำการบินอีกต่อไป ส่วนความคืบหน้ากรณีการขึ้นบัญชีดำบริษัทผู้ประกอบกิจการฮัจญ์ 4 บริษัท ที่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบนั้น ขณะนี้ได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เตรียมพร้อมเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทยพิจารณา หากมีการรับรองผลสามารถลงโทษบริษัทผู้กระทำความผิดได้ทันที
