ญาติเหลือทน ร้องขอความเป็นธรรม โรงพยาบาลเอกชน ย่านรัตนาธิเบศร์ ไม่รับรักษาคนเจ็บ สุดท้ายสายเกินแก้ต้องเสียชีวิต เลือดคั่งในสมองแต่ไม่ได้รับการผ่าตัด เหตุรพ.กลัวไม่มีเงินจ่าย แถมถามหาสิทธิรักษาพยาบาลแล้วส่งต่อ แต่ช่วยชีวิตไม่ทัน
ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นายเสนาะ แก้วสมบูรณ์ อายุ 46 ปี อาชีพรับตอกเสาเข็มสร้างบ้าน ได้เดินทางมายื่นหนังสือต่อนายมานิต นพอมรบดี รมช.สาธารณสุข เพื่อร้องเรียนขอความเป็นธรรมกรณีโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังย่านรัตนาธิเบศร์ ที่มีส่วนทำให้นายกัมพล แก้วสมบูรณ์ ซึ่งเป็นน้องชาย ต้องเสียชีวิต โดยนายมานิต ได้มอบหมาย นพ.ธเรศ กรัษนับรวิวงศ์ ผอ.กองการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ มารับเรื่องแทน เนื่องจากติดภารกิจ
โดยนายเสนาะ กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2552 ซึ่งตนรับงานตอกเสาเข็มบริเวณต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี นายกัมพล ได้รับอุบัติเหตุโดนเสาเข็มที่ตอกอยู่หักโค่นลงมากระแทกศีรษะอย่างแรง ซึ่งตนไม่ใช่คนพื้นที่ดังกล่าว จึงไม่รู้จะนำคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาลใด แต่เนื่องจากตนเคยใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง แถวรัตนาธิเบศร์ เป็นประจำ จึงรีบนำนายกัมพลไปส่งโรงพยาบาลดังกล่าวโดยใช้เวลาเพียง 15 นาที เมื่อถึงโรงพยาบาลก็รับนายกัมพลเข้าห้องฉุกเฉิน จากนั้นเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก็ออกมาแจ้งค่าใช้จ่ายเบื้องต้นประมาณ 30,000 บาท พร้อมทั้งแจ้งว่าคนเจ็บมีอาการเลือดคั่งในสมอง ต้องรีบผ่าตัดด่วน ตนก็ได้เซ็นชื่อตกลงเพื่อจ่ายค่ารักษาพยาบาล แต่จากนั้นประมาณ 1 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก็ออกมาแจ้งอีกว่าค่ารักษาทั้งหมดจะประมาณ 1-2 แสนบาท ตนก็บอกว่าให้รักษาได้เลย และจะหาเงินมาจ่ายให้แน่นอน
นายกัมพล กล่าวต่อว่า จากนั้นตนคิดว่าได้มีการเริ่มรักษานายกัมพลแล้ว แต่พอผ่านไปอีกเกือบ 2 ชั่วโมง ก็มีเจ้าหน้าที่ออกมาถามอีกว่าสามารถเบิกอะไรได้หรือไม่ มีประกันสังคมหรือไม่ หรือมีบัตรทองหรือไม่ ตนก็ได้โทรขอความช่วยเหลือไปยังสถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน ก็ทราบว่ามีสิทธิรักษาบัตรทอง อยู่ที่โรงพยาบาลนครปฐม และในระหว่างนั้นตนได้เข้าไปดูนายกัมพล ก็พบว่าทางโรงพยาบาลรักษาแต่เพียงบาดแผลภายนอก และให้อ๊อกซิเจนเท่านั้น ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าต้องรีบผ่าตัดด่วน จากนั้นโรงพยาบาลเอกชนดังกล่าวก็ทำเรื่องส่งคนเจ็บไปทางโรงพยาบาลนครปฐมทันที แต่ก่อนจะนำตัวคนเจ็บออกมา ก็ยังมีการเรียกเก็บค่ารักษาเบื้องต้นอีก และยังบอกว่าหากยังไม่จ่ายก็ไม่สามารถนำตัวคนเจ็บออกไปได้ ตนจึงขอร้องไปว่าตอนนี้มีเงินอยู่ 2,000 บาท จะจ่ายให้ไปก่อนแล้ววันต่อมาจะนำเงินมาให้อีก ทางโรงพยาบาลจึงยอม ซึ่งก็เสียเวลาอยู่อีกหลายนาที
นายกัมพล กล่าวอีกว่า เมื่อไปถึงโรงพยาบาลนครปฐมแพทย์ก็ดูผลเอ๊กซเรย์ และรีบนำตัวเข้าห้องผ่าตัด ก่อนที่จะออกมาแจ้งว่ามาส่งช้าเกินไป มีโอกาสรอดแค่ 5% จากนั้นก็ทำการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลนครปฐมได้ 8 วัน ก็เสียชีวิต จึงอยากมาร้องเรียนกระทรวงสาธารณสุขเพื่อขอความเป็นธรรม เพราะในเมื่อไม่เชื่อว่าตนจะมีเงินรักษา และรู้อยู่แล้วว่ากรณีนี้ต้องรีบผ่าตัดทำไมไม่แจ้งมา เพื่อที่ตนจะได้รีบนำไปส่งโรงพยาบาลอื่น และจะได้ไม่เกิดความสูญเสียต่อครอบครัวตน
ด้านนพ.ธเรศ กล่าวว่า ได้มีการขอเวชระเบียน กับข้อมูลจากทางโรงพยาบาลดังกล่าวเพื่อขอตรวจสอบแล้ว ซึ่งตามปกติจะมีคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการร้องเรียนเรื่องสถานพยาบาลต่างๆ ที่จะมีการประชุมกันเดือนละครั้ง จึงจะมีการนำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือในคณะอนุกรรมการ ซึ่งหากเป็นไปได้จะพยายามให้ทันในเดือนธ.ค.นี้ หรืออย่างช้าก็ในเดือน ม.ค. 2553 และในระหว่างนี้ก็ได้มีการติดต่อกับทางโรงพยาบาลเพื่อให้มาไกล่เกลี่ยกับทางญาติผู้ได้รับความเสียหายด้วย
ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นายเสนาะ แก้วสมบูรณ์ อายุ 46 ปี อาชีพรับตอกเสาเข็มสร้างบ้าน ได้เดินทางมายื่นหนังสือต่อนายมานิต นพอมรบดี รมช.สาธารณสุข เพื่อร้องเรียนขอความเป็นธรรมกรณีโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังย่านรัตนาธิเบศร์ ที่มีส่วนทำให้นายกัมพล แก้วสมบูรณ์ ซึ่งเป็นน้องชาย ต้องเสียชีวิต โดยนายมานิต ได้มอบหมาย นพ.ธเรศ กรัษนับรวิวงศ์ ผอ.กองการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ มารับเรื่องแทน เนื่องจากติดภารกิจ
โดยนายเสนาะ กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2552 ซึ่งตนรับงานตอกเสาเข็มบริเวณต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี นายกัมพล ได้รับอุบัติเหตุโดนเสาเข็มที่ตอกอยู่หักโค่นลงมากระแทกศีรษะอย่างแรง ซึ่งตนไม่ใช่คนพื้นที่ดังกล่าว จึงไม่รู้จะนำคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาลใด แต่เนื่องจากตนเคยใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง แถวรัตนาธิเบศร์ เป็นประจำ จึงรีบนำนายกัมพลไปส่งโรงพยาบาลดังกล่าวโดยใช้เวลาเพียง 15 นาที เมื่อถึงโรงพยาบาลก็รับนายกัมพลเข้าห้องฉุกเฉิน จากนั้นเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก็ออกมาแจ้งค่าใช้จ่ายเบื้องต้นประมาณ 30,000 บาท พร้อมทั้งแจ้งว่าคนเจ็บมีอาการเลือดคั่งในสมอง ต้องรีบผ่าตัดด่วน ตนก็ได้เซ็นชื่อตกลงเพื่อจ่ายค่ารักษาพยาบาล แต่จากนั้นประมาณ 1 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก็ออกมาแจ้งอีกว่าค่ารักษาทั้งหมดจะประมาณ 1-2 แสนบาท ตนก็บอกว่าให้รักษาได้เลย และจะหาเงินมาจ่ายให้แน่นอน
นายกัมพล กล่าวต่อว่า จากนั้นตนคิดว่าได้มีการเริ่มรักษานายกัมพลแล้ว แต่พอผ่านไปอีกเกือบ 2 ชั่วโมง ก็มีเจ้าหน้าที่ออกมาถามอีกว่าสามารถเบิกอะไรได้หรือไม่ มีประกันสังคมหรือไม่ หรือมีบัตรทองหรือไม่ ตนก็ได้โทรขอความช่วยเหลือไปยังสถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน ก็ทราบว่ามีสิทธิรักษาบัตรทอง อยู่ที่โรงพยาบาลนครปฐม และในระหว่างนั้นตนได้เข้าไปดูนายกัมพล ก็พบว่าทางโรงพยาบาลรักษาแต่เพียงบาดแผลภายนอก และให้อ๊อกซิเจนเท่านั้น ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าต้องรีบผ่าตัดด่วน จากนั้นโรงพยาบาลเอกชนดังกล่าวก็ทำเรื่องส่งคนเจ็บไปทางโรงพยาบาลนครปฐมทันที แต่ก่อนจะนำตัวคนเจ็บออกมา ก็ยังมีการเรียกเก็บค่ารักษาเบื้องต้นอีก และยังบอกว่าหากยังไม่จ่ายก็ไม่สามารถนำตัวคนเจ็บออกไปได้ ตนจึงขอร้องไปว่าตอนนี้มีเงินอยู่ 2,000 บาท จะจ่ายให้ไปก่อนแล้ววันต่อมาจะนำเงินมาให้อีก ทางโรงพยาบาลจึงยอม ซึ่งก็เสียเวลาอยู่อีกหลายนาที
นายกัมพล กล่าวอีกว่า เมื่อไปถึงโรงพยาบาลนครปฐมแพทย์ก็ดูผลเอ๊กซเรย์ และรีบนำตัวเข้าห้องผ่าตัด ก่อนที่จะออกมาแจ้งว่ามาส่งช้าเกินไป มีโอกาสรอดแค่ 5% จากนั้นก็ทำการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลนครปฐมได้ 8 วัน ก็เสียชีวิต จึงอยากมาร้องเรียนกระทรวงสาธารณสุขเพื่อขอความเป็นธรรม เพราะในเมื่อไม่เชื่อว่าตนจะมีเงินรักษา และรู้อยู่แล้วว่ากรณีนี้ต้องรีบผ่าตัดทำไมไม่แจ้งมา เพื่อที่ตนจะได้รีบนำไปส่งโรงพยาบาลอื่น และจะได้ไม่เกิดความสูญเสียต่อครอบครัวตน
ด้านนพ.ธเรศ กล่าวว่า ได้มีการขอเวชระเบียน กับข้อมูลจากทางโรงพยาบาลดังกล่าวเพื่อขอตรวจสอบแล้ว ซึ่งตามปกติจะมีคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการร้องเรียนเรื่องสถานพยาบาลต่างๆ ที่จะมีการประชุมกันเดือนละครั้ง จึงจะมีการนำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือในคณะอนุกรรมการ ซึ่งหากเป็นไปได้จะพยายามให้ทันในเดือนธ.ค.นี้ หรืออย่างช้าก็ในเดือน ม.ค. 2553 และในระหว่างนี้ก็ได้มีการติดต่อกับทางโรงพยาบาลเพื่อให้มาไกล่เกลี่ยกับทางญาติผู้ได้รับความเสียหายด้วย