“สมบุญ ใจสูง” หรือที่รู้จักกันในนาม "หมอสมบุญ" แพทย์แผนโบราณที่สำนักงานสภาการศึกษา ได้ประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติให้เป็น “ครูภูมิปัญญาไทย ด้านการแพทย์แผนไทย” รุ่นที่ 6 ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรุงยาแผนโบราณและประสานกระดูก เป็นที่พึ่งและทางเลือกแก่ชาวบ้านละแวกใกล้เคียง บ้านน้อยน่าสบายของหมอสมบุญอยู่ในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และเพียงแค่ถึงเรือนชานของบ้าน กลิ่นเฉพาะตัวของสมุนไพรไทยก็โชยสัมผัสจมูกผู้มาเยือน
หมอสมบุญเล่าว่าเรียนรู้ด้านสมุนไพรกับหลวงปู่เขียว วัดอ่างทองประชาสรรค์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุง ตั้งแต่ยังเล็ก เรียนรู้การปรุงยาการสกัดยาทุกอย่าง ขณะเดียวกันยังได้เรียนรู้วิธีการต่อกระดูกแตก กระดูกหักด้วย
"เริ่มรักษาคนป่วยจริงๆ ตอนอายุ 15 ปี ช่วงนั้นหลวงปู่เขียวอายุ 105 ปีท่านชราภาพมากจนเดินไปไหนมาไหนไม่ไหว ผมต้องทำแทนหลวงปู่ทุกอย่าง แต่อยู่ภายใต้การควบคุมของหลวงปู่ ตอนนั้นมีคนป่วยมาให้หลวงปู่รักษาเยอะมากวันละ 100 คน เรียกว่านั่งนอนกันเต็มศาลา รักษาผู้ป่วยเรื่อยมาจนหลวงปู่มรณภาพ จึงย้ายมาอยู่ที่ จ.ตาก แต่ยังสืบสานการรักษาโรคและต่อกระดูกด้วยสมุนไพรมาจนถึงปัจจุบัน"
หมอแผนไทยแห่งจังหวัดตากรายนี้กล่าวว่าถึงตำรับและวิธีการรักษาของตนเองว่า วิชาสมุนไพรที่ปรุงเพื่อรักษาโรคจะใช้ตำรับพระยาพิษณุประสาทเวชและตำรับของ "หมอพร" หรือกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์
"ตำรับยานี้ใช้รักษาผู้ป่วย ก่อนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ซะอีก แล้วมีการจดบันทึกการรักษาว่าได้ผล”
หมอสมบุญ เล่าให้ฟังว่าการตรวจวินิจฉัยโรคจะใช้แบบผสมผสานระหว่างแบบโบราณกับเครื่องมือตรวจวัดความดันโลหิตของแพทย์แผนปัจจุบัน ซักถามอาการ เพื่อวิเคราะห์ว่าป่วยด้วยโรคอะไร จากนั้นจะจัดยาสมุนไพรเพื่อรักษาโรคนั้นๆและติดตามอาการผู้ป่วยโดยนัดให้มาพบอีก หรือให้โทรศัพท์มาเล่าอาการ
“รักษามา 50 ปีแล้ว รักษาคนป่วย และต่อกระดูกมานับไม่ถ้วน ถือว่าเป็นกุศลที่ได้ช่วยเหลือคนเจ็บไข้ได้ป่วย”
หมอสมบุญกล่าวถึงยาตำรับที่ใช้รักษาผู้ป่วยว่า เคยมีโอกาสใช้กับตัวเองเช่นกัน ใช้ยาตำรับนี้รักษาตัวเองเช่นกัน เพราะเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน จู่ๆ ก็เป็นอัมพาตครึ่งซีก ปากเบี้ยว พูดไม่ได้ น้ำลายไหล ขยับร่างกายไม่ได้ซีกหนึ่ง หมอสมบุญจึงได้เขียนตัวยาสมุนไพรให้ภรรยาไปต้ม กินยาได้ 9 วัน พอวันที่ 9 เดินได้เหมือนคนปกติ ปากหายเบี้ยว ยังขับรถยนต์ได้เหมือนเดิม
จนถึงวันนี้หมอสมบุญ ยังคงเปิดบ้านรักษาคนป่วยโดยไม่ได้เรียกร้องค่าตอบแทน และเปิดศูนย์เรียนรู้สอนสรรพคุณสมุนไพรเพื่อถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับสรรพคุณสมุนไพรแต่ละชนิด และการปรุงยาแก่นักเรียนในโครงการพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รวมทั้งผู้ที่สนใจ โดยพาไปศึกษาที่ศูนย์อบรมพืชสมุนไพร ซึ่งปลูกสมุนไพรมากกว่า 150 ชนิดอีกด้วย
"หากเทียบความรู้ที่สอน น่าจะเรียกว่า "เภสัช" เพราะสอนว่าต้นไม้มีสรรพคุณอย่างไร และใช้ส่วนไหนมาใช้ปรุงยา ทั้งนี้ จะให้ผู้เรียนท่องให้ขื้นใจว่า สมุนไพรชนิดนั้นมีรสอย่างไรจะมีสรรพคุณรักษาโรค... รสฝาดชอบสมาน รสหวานซึมทราบตามเนื้อ รสเมาเบื่อแก้พิษ รสขมแก้ไข บำรุงโลหิต รสเผ็ดร้อนแก้ลม รสมันบำรุงเส้นเอ็น รสหอมเย็นบำรุงหัวใจ รสเปรี้ยวฟอกเลือดและระบายอ่อนๆ รสเค็มรักษาไม่ให้เนื้อเน่า รสจืดมีไว้เพื่อดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้ร้อนในกระหายน้ำ"
สำหรับวิชาการแพทย์แผนไทยของหมอสมบุญ เจ้าตัวกล่าวว่าไม่อยากให้สูญหาย ขณะนี้จึงกำลังถ่ายทอดมรดกวิชานี้แก่หลานชาย เพื่อสืบทอดเจตนารมย์และทางเลือกแบบการรักษาด้วยแพทย์แผนไทยให้ยังคงอยู่สืบไปอีกด้วย