การจัดระเบียบพื้นที่ตั้งร้านขายปลีกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือ “การจัดโซนนิ่งร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” กำลังเป็นมาตรการที่ได้รับความสนใจ เพราะมีข้อมูลวิชาการยืนยันว่า เป็นหนึ่งในนโยบายที่ช่วยลดความเสี่ยง และอันตรายที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ให้แก่ชุมชน ควบคู่ไปกับการสร้างเสริมสุขภาพให้ประชาชน
ทั้งนี้ มาตรการจัดระเบียบพื้นที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือ โซนนิ่ง (Alcohol Zoning) เป็นมาตรการที่กำหนดข้อจำกัดการใช้พื้นที่โดยยึดเอาสุขภาวะของประชาชนที่อาศัยในชุมชน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในนโยบายสาธารณะที่ดำเนินการแล้วในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา สวีเดน เช่น ที่เมืองบาวเดอร์ ในรัฐโคโลราโด้ และเมืองนีวาร์ก ในรัฐดีลาแวร์ ซึ่งเป็น 2 ใน 10 ชุมชนเมืองที่ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในท้องที่แก้ปัญหาการดื่มหนักของนักศึกษา โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดผลด้านการสร้างเสริมสุขภาพ ความปลอดภัย ศีลธรรม และการจัดสวัสดิการอย่างเหมาะสม
ในเอกสารวิชาการด้านการพัฒนานโยบายท้องถิ่น ที่จัดทำโดย สถาบันมาร์ติน (The Martin Institute) ในเมืองซาน ราฟาเอล รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นสถาบันที่มีพันธกิจหลักในการป้องกันการครอบงำด้านลบของอุตสาหกรรมแอลกอฮอล์ต่อชุมชนท้องถิ่น ระบุว่า การกำหนดจำนวนและความหนาแน่นของร้านขายปลีกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นหนึ่งในวิธีการที่สามารถลดปัญหาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้จริง โดยมีผลวิจัยชี้ให้เห็นว่า ยิ่งมีร้านขายเหล้าต่อหัวประชากร หรือต่อพื้นที่ (ต่อตารางไมล์) น้อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งส่งผลให้การบริโภคและปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลดลงมาเท่านั้น โดยเฉพาะปัญหาการดื่มสุราของเยาวชนที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์การดื่ม ขณะเดียวกันยังพบว่า ยิ่งชุมชนหรือพื้นที่ใดมีร้านขายเหล้าหนาแน่นมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเกิดปัญหาอาชญากรรม ความรุนแรง การฆาตกรรม ตลอดจนเหตุเดือดร้อน ถูกก่อกวน และกิจกรรมผิดกฎหมายมากยิ่งขึ้นเป็นเงาตามกัน
สำหรับมาตรการโซนนิ่งในประเทศไทยนั้น อยู่ระหว่างการรอประกาศเป็นกฎกระทรวงภายใต้พระราชบัญญัติแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 โดยในเดือนตุลาคม 2552 กระทรวงสาธารณสุข และภาคีต่างๆจะร่วมกันคัดเลือกพื้นที่ทดลองตัวอย่างเพื่อจะประกาศห้ามขายแอลกอฮอล์ในบริเวณ 500 เมตรรอบสถานศึกษา ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อร้านขายปลีก โดยเฉพาะร้านเหล้าปั่นจะไม่ได้รับอนุญาตให้ขายเหล้าอีกต่อไป อีกทั้งยังประกาศการเพิ่มคำเตือนและรูปภาพเพื่อแสดงถึงอันตรายจากการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีขนาดครึ่งหนึ่งของฉลากสินค้าลงบนขวดและหีบห่อบรรจุสินค้าแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ ยังมีมาตรการเพิ่มเติมเพื่อเอื้อต่อมาตรการโซนนิ่ง คือ มาตรการที่จะปฏิเสธการออกใบอนุญาตให้ร้านค้าปลีกที่จะเปิดร้านขายแอลกอฮอล์ใกล้กับสถานศึกษา หรือการเก็บค่าธรรมเนียมในอัตราพิเศษ
การจัดระเบียบพื้นที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในต่างประเทศนั้น มีลักษณะการออกมาตรการควบคุมการดำเนินกิจการ ดังนี้
1.กำหนดระยะห่างในการตั้งร้านจากสถานที่ เช่น สถานศึกษา และศาสนสถาน เช่น หลายเมืองในประเทศสหรัฐอเมริกามีกฎหมายกำหนดให้ร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต้องตั้งห่างจากโรงเรียนหรือขอบตึกโบสถ์ไม่ต่ำกว่า 1,000 ฟุต (ประมาณ 304.8 เมตร) เช่น เมืองนีวาร์ก ในรัฐดีลาแวร์ ที่ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยนีวาร์ก ได้จำกัดความหนาแน่นของบาร์ที่จะสร้างใหม่ในถนนสายหลักของเมืองให้อยู่ห่างจากสถานที่ที่กำหนด เช่น โบสถ์ สนามฟุตบอล หอประชุมในระยะ 300 ฟุต ทำให้จำนวนนักดื่มหนักลดลงถึง 5% (ในปี 1993) จากเดิม 61.9% เป็น 56.7% ในปี 1997 ขณะเดียวกัน ก็มีนักศึกษาที่เลือกที่จะไม่ดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นจากเดิม 6% เป็น 15.7%
2.จำกัดความหนาแน่นของร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่เสี่ยง เช่น เขตที่อยู่อาศัย ที่จอดรถ ชายทะเล ปั้มน้ำมัน หรือในกิจกรรมสาธารณะ เช่น การจัดตลาดนัด หรืองานรื่นเริงกลางแจ้ง เป็นต้น เช่น มหาวิทยาลัยโคโลราโด้ที่ทำข้อตกลงกับชุมชนในเมืองฟาว์เดอร์ห้ามการจำหน่ายเบียร์ในสนามฟุตบอล ทำให้แฟนบอลที่ถูกไล่ออกจากสนามเพราะทะเลาะวิวาทกันลดลงถึง 69% และจำนวนการจับกุมก็ลดลงจาก 9 รายจนเป็นศูนย์ราย ในปี 1997
ที่ผ่านมา มีชุมชนจำนวนไม่น้อยในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา และนิวซีแลนด์ ที่ประชาชนในพื้นที่ร่วมกันเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกมาตรการจำกัดเขตและจำนวนร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยพยายามผลักดันให้ร้านค้าประเภทนี้ออกไปทำกิจการห่างไกลจากเขตที่อยู่อาศัยหนาแน่น โดยอยู่ใน โซนที่จัดไว้สำหรับธุรกิจบันเทิง (Entertainment Zone) โดยเฉพาะ เพื่อที่ประชาชนทั่วไปไม่ต้องเผชิญกับการรบกวนในรูปแบบต่างๆ จากนักดื่มที่เมามาย เช่น การอาละวาด คุกคาม การก่อเสียงดัง ไปจนถึงการปัสสาวะและก่อความสกปรกเรี่ยราด
ในเอกสารดังกล่าว มีข้อเสนอแนะว่า ชุมชนต่างๆ สามารถเรียกร้องให้รัฐ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกนโยบายหรือมาตรการที่จำกัดจำนวนร้านขายเหล้าในแต่ละชุมชน โดยอิงเกณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
-กำหนดจำนวนร้านตามขนาดพื้นที่ชุมชน
-กำหนดจำนวนร้านตามโครงสร้างเศรษฐกิจของพื้นที่ โดยให้มีสัดส่วนสอดคล้องกับร้านค้าประเภทอื่นๆ
-กำหนดจำนวนร้านตามความหนาแน่นของประชากรในพื้นที่
ทั้งนี้ เกณฑ์ดังกล่าวเป็นเพียงแนวทางกว้างๆ ที่คนในแต่ละชุมชนสามารถสร้างหลักเกณฑ์การกำหนดจำนวนร้านขายเหล้าในชุมชนให้เหมาะสมกับเงื่อนไขตามที่คนในชุมชนเห็นพ้องต้องกันว่าเหมาะสม แล้วเสนอต่อรัฐ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ใช้เป็นหลักพิจารณา
การที่ชุมชนมีส่วนร่วมในการกำหนดมาตรการ “โซนนิ่งร้านขายเหล้า” ถือเป็นการเข้ามามีบทบาทในการปกป้องเยาวชนจากสิ่งเสพติด ลดปัญหาอาชญากรรมในชุมชน และสร้างเสริมสุขภาพให้แก่คนในชุมชนควบคู่ไปพร้อมกัน