xs
xsm
sm
md
lg

สับ GAT/PAT วัดเด็กไม่ตรงเป้า แนะเปลี่ยนเนื้อหาข้อสอบ ที่ไม่มีในกวดวิชา ลดเด็กแห่ติว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผอ.สำนักทดสอบทางการศึกษาและจิตวิทยา มศว สับข้อสอบ GAT/PAT ยังวัดเด็กได้ไม่ตรงเป้า ชี้ GATวัดเพียงความสามารถการใช้ภาษาไทย คิดวิเคราะห์เชิงเหตุผล แก้ปัญหาโจทย์ และภาษาอังกฤษ ต้องเพิ่มการคิดคำนวณเชิงตัวเลข เชิงปริมาณ ระบุข้อสอบยากเกินทำเด็กแห่สอบตรงเพียบ เสนอเปลี่ยนเนื้อหาข้อสอบ ที่ไม่สามารถไปหากวดวิชาที่ไหนได้

รศ.ชาญวิทย์ เทียมบุญประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักทดสอบทางการศึกษาและจิตวิทยา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เปิดเผยว่า ข้อสอบ GAT หรือ General Aptitude Test ซึ่งเป็นข้อสอบที่วัดสมรรถนะความถนัดพื้นฐานทั่วไปของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สมรรถนะความถนัดพื้นฐานนี้เด็กจะเก็บสะสมมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กเล็กๆ จนถึงการเรียนในชั้น ม.6 มีมากแค่ไหน เป็นความรู้ทั่วๆ ไปที่สามารถเติบโตขยายผลเมื่อเข้าสู่การเรียนในระดับปริญญาตรี และที่สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ออกข้อสอบ GAT นั้นวัดเพียง 2 ส่วนคือ ความสามารถในการใช้ภาษาไทย การคิดวิเคราะห์เชิงเหตุผลและการแก้ปัญหาโจทย์ และภาษาอังกฤษ ตนเคยนำเสนอในที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ถึงการออกข้อสอบ GAT ของ สทศ.ยังไม่ถูกต้องนักเพราะยังไม่มีข้อสอบที่วัดการคิดคำนวณเชิงตัวเลข หรือเชิงปริมาณ การวัดในส่วนนี้มีความจำเป็นต้องวัดความสามารถในส่วนนี้ด้วย แต่ไม่ควรอิงกับหลักวิชาคณิตศาสตร์ในชั้นเรียน และไม่ควรวัดในเชิงคณิตศาสตร์ชั้นสูง เป็นคณิตศาสตร์พื้นๆ ที่เด็ก ม.6 รู้ ส่วนใหญ่จะวัดความรู้ด้านเปอร์เซ็นต์ ร้อยละ สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม วงกลมในสี่เหลี่ยม การซื้อขาย กำไรขาดทุน ความสามารถคิดคำนวณเชิงตัวเลขหรือเชิงปริมาณเป็นบ่อเกิดในการทำให้คนๆ นั้นได้ใช้ความคิดช่วยให้คนคิดเป็น ทำเป็นแก้ ปัญหาเป็น

รศ.ชาญวิทย์ กล่าวต่อว่า อีกส่วนคือคะแนนข้อสอบ GAT มากถึง 50% คะแนนส่วนนี้มากเกินไป การวัดภาษาอังกฤษมากถึง 50% ทำให้เด็กจำนวนไม่น้อยเสียเปรียบเด็กในเมืองใหญ่ๆ โดยเฉพาะเด็กต่างจังหวัดที่อยู่ห่างไกลจะสู้นักเรียนโรงเรียนดังๆ ใน กทม.และจังหวัดใหญ่ๆ ไม่ได้ การตั้งคะแนนในลักษณะที่ สทศ.ตั้งขึ้นนี้ทำให้เกิดการเสียเปรียบได้เปรียบข้องเด็กไทย จึงอยากเสนอว่า ข้อสอบ GAT ควรจะเพิ่มในส่วนข้อสอบที่วัดการคิดคำนวณเชิงตัวเลขและปริมาณเข้าไปด้วย และแบ่งคะแนนออกเป็น 3 ส่วน โดยวัดความสามารถในการใช้ภาษาไทย การคิดวิเคราะห์เชิงเหตุผล 1 ส่วน ภาษาอังกฤษ 1 ส่วน และการคิดคำนวณเชิงตัวเลขหรือเชิงปริมาณอีก 1 ส่วน คิดเป็นคะแนนประมาณ 33 กว่าคะแนน

นอกจากนี้ สทศ.ยังดูแลข้อสอบ PAT (Professional and Academic Aptitude Test)หรือ ความถนัดทางวิชาชีพและวิชาการ ซึ่งเป็นข้อสอบที่ยาก โดยเป้าหมายของข้อสอบ PAT นั้นต้องการวัดความสามารถเฉพาะทางของนักเรียน ที่ต้องการเรียนในสาขาเฉพาะทาง หากแต่ข้อสอบต้องไม่ลงลึกในเนื้อหาวิชาการ ซึ่งถ้าวัดในลักษณะนั้นถือเป็นการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผิดเป้าหมายการออกข้อสอบ PAT

“ยอมรับว่าคนที่ออกข้อสอบ PAT นั้นมีความเชี่ยวชาญในสาขาเนื้อหาวิชาต่างๆ อย่างมาก แต่อาจจะมีความบกพร่องในการวัดผลและประเมินผลไป ทำให้ออกข้อสอบไม่เป็น PAT แต่ไปวัดความรู้ทางวิชาการชั้นสูงในวิชาเฉพาะมากเกินไป ยกตัวอย่างคนที่จะเรียนในสายวิศวกรรมศาสตร์ ต้องมีความสามารถที่สะท้อนให้เห็นว่ามีแววที่จะเรียนวิศวะได้ เช่น ต้องมองส่วนลึก ส่วนซับส่วนซ้อน มองภาพมิติต่างๆ ได้ชัดเจนว่าคนอื่นๆ เป็นความสามารถทางมิติสัมพันธ์ แต่ไม่ใช่ออกข้อสอบลงลึกในวิชาการในสาขานั้นๆ มากเกินไป เด็กจึงบ่นกันว่าข้อสอบ PAT ยากมาก อยากบอกกับทางสทศ.ว่าถ้าเราเปลี่ยนแปลงการออกข้อสอบ GAT และ PAT ให้มีเป้าหมายมองให้รอบด้านและเป็นไปตามปรัชญาการวัดผลประเมินผลจริงๆ จะทำให้ลดปัญหาการกวดวิชาลงได้ หลักการออกข้อสอบ GAT และ PAT เป็นการออกข้อสอบที่ไม่สามารถไปกวดวิชาที่ไหนได้ เนื่องจากไม่มีเนื้อหาจะไปกวด ถ้าจะได้ก็เป็นเพียงรูปแบบหรือสไตล์ของข้อสอบ แต่การไปกวดวิชาแบบเรียนเนื้อหาต่างๆ อย่างที่เป็นอยู่จะไม่เกิดขึ้น เหตุที่โรงเรียนกวดวิชายังอยู่ได้และนักเรียนนิยมไปกวดวิชาเพราะข้อสอบยังมุ่งเน้นไปที่หลักวิชา เข้าไปในเนื้อหาวิชามาก จึงทำให้มีเนื้อหาที่สามารถไปกวดวิชาได้ การแก้ปัญหาโรงเรียนกวดวิชาสิ่งหนึ่งที่อยากเสนอคือ ต้องออกข้อสอบที่เป็น GAT และ และ PAT จริงๆ” ผอ.สำนักทดสอบทางการศึกษาและจิตวิทยา มศว กล่าว

รศ.ชาญวิทย์ กล่าวด้วยว่า จากปรากฏการณ์ที่เด็กไปสอบ GAT และ PAT แล้วทำให้เห็นว่าข้อสอบ ทั้ง GAT และ PAT ยากนั้น ทำให้เขาท้อแท้และเบื่อหน่าย จึงทำให้เด็กๆ หนีไปสอบตรงกับทางมหาวิทยาลัยต่างๆ มากขึ้นในส่วนการรับตรงของ มศว นั้นไม่ได้วัดเด็กจากวิชาการเพียงอย่างเดียว แต่ยังดูในเรื่องคุณธรรมจริยธรรม สอบตรง มศว จึงกำหนดให้สอบข้อสอบที่วัดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา และความถนัดทางการเรียน โดยเน้นและให้ความสำคัญกับความถนัดทางการเรียนอย่างมาก การสอบความถนัดทางการเรียนจึงเป็นการวัดศักยภาพพื้นฐานที่มีอยู่ในตัวเองเพื่อดูว่าเขาสามารถจะเรียนในระดับปริญญาตรีได้ นักเรียนทุกคน ทุกสาขาวิชาจึงต้องกำหนดสอบความถนัดทางการเรียนโดยให้ทุกคนสอบ
กำลังโหลดความคิดเห็น