xs
xsm
sm
md
lg

กรณีพระวิหาร : อย่าหล่อหลอมประชาชนไปในทางที่ผิด!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บทความโดย...นายประกาสิทธิ์ แก้วมงคล ผู้ช่วยนักวิจัย สถาบันไทยคดีศึกษา

ไม่ใช่แค่เรื่องเล็กน้อย ที่นักวิชาการใหญ่ด้านประวัติศาสตร์ท่านหนึ่งพร้อมลูกศิษย์ลูกหาที่ออกมาให้ข้อมูลผิดๆ ต่อสาธารณชน เพื่อที่จะบอกว่า ประเทศไทยอยู่ในภาวะต้องจำยอมรับว่าปราสาทเขาพระวิหารเป็นของเขมรไปแล้ว รวมทั้งต้องยอมรับแผนที่ที่เขมรใช้แต่โดยดี เหตุผลเพราะอ้างในหลวง รัชกาลที่5 ทรงยอมรับทั้ง “เส้นเขตแดน” และ “แผนที่” ซึ่งฝรั่งเศสทำขึ้นตามสนธิสัญญา ค.ศ.1907 แล้วเมื่อ 100 กว่าปีที่ผ่านมา อันเป็นนโยบายไผ่ลู่ลมเพื่อรักษาเอกราชและอธิปไตยของชาติ


โดยการอ้างถึงการเสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรปครั้งที่ 2 ว่า “...ก็ได้เสด็จกรุงปารีส และทรงลงพระนามในสัตยาบันสนธิสัญญาดังกล่าวแลกเปลี่ยนดินแดนกันกับประธานาธิบดีของฝรั่งเศส (ฉะนั้น ก็กล่าวได้ว่า บรรดาปราสาททั้งหลายทั้งปวง ทั้งนครวัด นครธม ตลอดจนปราสาทพระวิหาร ก็จะตกไปเป็นของฝรั่งเศสในอินโดจีนสมัยนั้น” ที่พูดกันอย่างนี้ หากใครไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ให้ดีพอได้ยินอย่างนี้เข้าก็น่ากลัวว่าจะเคลิ้มไปได้ง่ายๆ เหมือนกัน แต่โดยตรรกะอย่างนี้ ถ้าเชื่อตามก็หมายความว่า หากประเทศไทยจะต้องเสียปราสาทพระวิหาร เสียดินแดน 4.6 ตร.กม. ตามแผนที่ของเขมร และถ้าจะต้องเสียอะไรต่อมิอะไรในที่อื่นๆ อีก ก็ไม่ใช่เป็นเพราะความผิดของคนในยุคปัจจุบันอย่างนั้นหรือ

แท้ที่จริงเรื่องนี้เป็นการโกหกที่ร้ายกาจ แต่สามารถจับโกหกได้ง่ายที่สุด เนื่องด้วยสนธิสัญญาฉบับที่ถูกกล่าวถึงนั้น คือ หนังสือสัญญา ระหว่าง กรุงสยาม กับ กรุงฝรั่งเศส ลงวันที่ ๒๓ มีนาคม ร.ศ.๑๒๕ (ค.ศ.๑๙๐๗) ลงนามที่กรุงเทพมหานคร ผู้แทนลงนามฝ่ายไทยคือ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ ผู้แทนฝ่ายฝรั่งเศส คือ วี. คอลแลง (เดอ ปลังซี) สนธิสัญญาฉบับนี้ก็เป็นการมัดมือชกให้สยามจำต้องยอมแลกเมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ เพื่อให้ได้เมืองตราดและบรรดาเกาะต่างๆ รวมทั้งเกาะกูดที่ถูกฝรั่งเศสยึดครองคืนมา และจำต้องยอมทำการปักปันเขตแดนกับฝรั่งเศสใหม่ตั้งแต่ช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ ถึงแหลมสารพัดพิษ จ.ตราด แต่สนธิสัญญาฉบับดังกล่าวนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับการที่ต้องยอมรับเส้นเขตแดนหรือแผนที่บริเวณเขาพระวิหารแต่อย่างใดเลย ดังภาพ ซึ่งจะเห็นว่าการปักปันเขตแดนตามสนธิสัญญา ค.ศ.1907 นั้น ไม่เกี่ยวกับพื้นที่บริเวณเขาพระวิหารและปราสาทพระวิหาร เพราะเริ่มต้นจากช่องสะงำ ห่างจากพระวิหารหลายสิบกิโลเมตรมาจนถึงบ้านหาดเล็ก แหลมสารพัดพิษ จ.ตราด

ฉะนั้น การกล่าวหาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5 ทรงเสด็จฯไปลงนามสัตยาบันในสนธิสัญญาฉบับดังกล่าวที่กรุงปารีส ในปี ค.ศ.1907 และยอมรับ“เส้นเขตแดน”และ “แผนที่” ที่ทำให้ปราสาทพระวิหารต้องตกไปเป็นของกัมพูชาไปแล้วตั้งแต่บัดนั้น จึงเป็นข้อมูลเท็จอย่างยิ่ง เพื่อหวังปิดปากประชาชนไม่ให้ขุดคุ้ยกันอีกต่อไป

กระทรวงการต่างประเทศ หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่เจรจาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ คือ ดินแดนและอธิปไตยเป็นสิ่งสูงสุด ถ้ายังปล่อยหรือส่งเสริมให้นักวิชาการที่มีทัศนคติอย่างนี้นำเอาข้อมูลผิดๆ ออกมาเผยแพร่ต่อประชาชน ก็คงจะต้องเรียกว่าเป็นเจตนาหล่อหลอมประชาชนไปในทางที่ผิด

นี่จะเป็นบทพิสูจน์ว่าข้าราชการไทยปัจจุบันยังหลงเหลือความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ กันอยู่สักกี่มากน้อย
กำลังโหลดความคิดเห็น