อภ.ผลิตยาโอเซลทามิเวียร์สูตรเด็กเสร็จแล้ว เริ่มกระจายยาสัปดาห์หน้า ส่วนการผลิตวัคซีนผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลกพอใจการประเมินผลโรงงาน เตรียมผลิตวัคซีนเพื่อนำไปใช้ในอาสาสมัครชุดแรก 24 คนได้แล้ว
นพ.วิทิต อรรถเวชกุล ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) กล่าวว่า ขณะนี้ อภ.ได้ผลิตยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ ขนานสำหรับเด็ก เพื่อให้ผู้ป่วยเด็กรับประทานได้ง่าย และสะดวกขึ้น โดยเป็นยาชนิดแคปซูลมี 2 ขนาด ประกอบด้วย ขนาด 30 มิลลิกรัม (เม็ดสีส้ม) จำนวน 25,000 ขวด / 1 ขวดบรรจุ 10 แคปซูล และขนาด 45 มิลลิกรัม (เม็ดสีเขียว) จำนวน 18,000 ขวด/ 1 ขวด บรรจุ 10 แคปซูล โดยขณะนี้ยาดังกล่าวอยู่ระหว่างการตรวจสอบและการประกันคุณภาพ คาดว่าภายในสัปดาห์หน้าจะสามารถกระจายยาไปยังโรงพยาบาลต่างๆ ได้
นพ.วิทิต กล่าวต่อว่า สำหรับวิธีการรับประทานยาดังกล่าวนั้น ได้แก่ เด็กอายุ 1-12 ปี น้ำหนักตัวต่ำกว่าหรือเท่ากับ 15 กิโลกรัม รับประทานครั้งละ 30 มิลลิกรัมวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน เด็กน้ำหนักตัวมากกว่า 15 กิโลกรัม – 23 กิโลกรัม รับประทานครั้งละ 45 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน เด็กน้ำหนักตัวมากกว่า 23 กิโลกรัม - 40 กิโลกรัม รับประทานครั้งละ 60 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน เด็กน้ำหนักตัวมากกว่า 40 กิโลกรัม รับประทานครั้งละ 75 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน
นพ.วิทิต กล่าวถึงความคืบหน้าการผลิตวัคซีนว่า ขณะนี้ผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลก (ฮู) ได้ประเมินโรงงานนำร่องกึ่งอุตสาหกรรมของอภ. ที่ใช้ผลิตวัคซีนโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ ครั้งที่ 2 เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยผลประเมินเป็นที่น่าพอใจ โรงงานงานนำร่องฯ ได้มาตรฐานการผลิตที่ดี(จีเอ็มพี) เรียบร้อยแล้ว อภ.จึงสามารถผลิตวัคซีนเพื่อนำไปใช้ในอาสาสมัครชุดแรก 24 คนได้แล้ว
“ขณะนี้นักวิจัยได้เริ่มเก็บเกี่ยวเชื้อไวรัสจากการฟักเชื้อในไข่ไก่แล้ว จะทราบผลว่าจะได้เชื้อไวรัสในปริมาณเท่าใด ในวันที่ 16 สิงหาคมนี้ จากนั้นจึงจะประเมินได้ว่าวัคซีน 1 โดสจะต้องใช้ปริมาณเชื้อไวรัสเท่าใด ซึ่งคุณภาพของวัคซีนขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยหลัก คือ 1.เชื้อไวรัสมีศักยภาพสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกายดีหรือไม่ 2.เพาะเลี้ยงเชื้อในไข่ไก่ได้มากหรือไม่ หากได้ปริมาณเชื้อมากก็สามารถผลิตวัคซีนได้มากตามไปด้วย” นพ.วิทิต กล่าว
นพ.วิทิต อรรถเวชกุล ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) กล่าวว่า ขณะนี้ อภ.ได้ผลิตยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ ขนานสำหรับเด็ก เพื่อให้ผู้ป่วยเด็กรับประทานได้ง่าย และสะดวกขึ้น โดยเป็นยาชนิดแคปซูลมี 2 ขนาด ประกอบด้วย ขนาด 30 มิลลิกรัม (เม็ดสีส้ม) จำนวน 25,000 ขวด / 1 ขวดบรรจุ 10 แคปซูล และขนาด 45 มิลลิกรัม (เม็ดสีเขียว) จำนวน 18,000 ขวด/ 1 ขวด บรรจุ 10 แคปซูล โดยขณะนี้ยาดังกล่าวอยู่ระหว่างการตรวจสอบและการประกันคุณภาพ คาดว่าภายในสัปดาห์หน้าจะสามารถกระจายยาไปยังโรงพยาบาลต่างๆ ได้
นพ.วิทิต กล่าวต่อว่า สำหรับวิธีการรับประทานยาดังกล่าวนั้น ได้แก่ เด็กอายุ 1-12 ปี น้ำหนักตัวต่ำกว่าหรือเท่ากับ 15 กิโลกรัม รับประทานครั้งละ 30 มิลลิกรัมวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน เด็กน้ำหนักตัวมากกว่า 15 กิโลกรัม – 23 กิโลกรัม รับประทานครั้งละ 45 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน เด็กน้ำหนักตัวมากกว่า 23 กิโลกรัม - 40 กิโลกรัม รับประทานครั้งละ 60 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน เด็กน้ำหนักตัวมากกว่า 40 กิโลกรัม รับประทานครั้งละ 75 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน
นพ.วิทิต กล่าวถึงความคืบหน้าการผลิตวัคซีนว่า ขณะนี้ผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลก (ฮู) ได้ประเมินโรงงานนำร่องกึ่งอุตสาหกรรมของอภ. ที่ใช้ผลิตวัคซีนโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ ครั้งที่ 2 เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยผลประเมินเป็นที่น่าพอใจ โรงงานงานนำร่องฯ ได้มาตรฐานการผลิตที่ดี(จีเอ็มพี) เรียบร้อยแล้ว อภ.จึงสามารถผลิตวัคซีนเพื่อนำไปใช้ในอาสาสมัครชุดแรก 24 คนได้แล้ว
“ขณะนี้นักวิจัยได้เริ่มเก็บเกี่ยวเชื้อไวรัสจากการฟักเชื้อในไข่ไก่แล้ว จะทราบผลว่าจะได้เชื้อไวรัสในปริมาณเท่าใด ในวันที่ 16 สิงหาคมนี้ จากนั้นจึงจะประเมินได้ว่าวัคซีน 1 โดสจะต้องใช้ปริมาณเชื้อไวรัสเท่าใด ซึ่งคุณภาพของวัคซีนขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยหลัก คือ 1.เชื้อไวรัสมีศักยภาพสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกายดีหรือไม่ 2.เพาะเลี้ยงเชื้อในไข่ไก่ได้มากหรือไม่ หากได้ปริมาณเชื้อมากก็สามารถผลิตวัคซีนได้มากตามไปด้วย” นพ.วิทิต กล่าว
