“วิทยา” เผยมีเว็บโฆษณาขายยาโอเซลทามิเวียร์นำเข้า หวั่นเป็นยาปลอม ขณะที่พบเว็บในประเทศมีการโพสต์ อ้างการลักลอบนำโอเซลทามิเวียร์ ขายต่อญี่ปุ่น สั่ง อย.ตรวจสอบด่วน ระบุห่วงหวัด 2009 ระบาดหนัก ส.ค.-ก.ย.นี้ เตือนยังระบาดต่อถึงต้นปี 53 ด้านคณะอนุกรรมการหวัดฯ เตรียมประสานทุกภาคส่วน ผนึก 3 เหล่าทัพ-ศธ.-ก.แรงงาน-กทม.-อบต.-ขนส่งมวลชน สร้างความตื่นตัวทั่วประเทศ พร้อมหนุนงานวิจัยระยะยาวรับภาวะฉุกเฉิน ส่วน อภ.เผยจ่ายโอเซลทามิเวียร์ตามภูมิภาค 7 แสนเม็ด/วัน คาด 6 ก.ย. เตรียมทดลองวัคซีนในคน
วันนี้(7 ส.ค.) ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) มีการแถลงผลการประชุม “คณะอนุกรรมการสนับสนุนป้องกัน ควบคุม และการแก้ปัญหาการแพร่ระบาด ของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 สสส.” โดย นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า สำนักระบาดวิทยาประเมินสถานการณ์ของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ว่า ในช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย.นี้ คาดว่าการแพร่ระบาดยังเป็นช่วงขาขึ้น เนื่องจากสถิติที่ผ่านมาในปี 2551 มีผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ช่วงเดียวกันจำนวนประมาณ 10,000 รายต่อเดือน ขณะที่ปีนี้ในช่วงเดือน มิ.ย.และ ก.ค.ที่ผ่านมา มีรายงานผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เฉลี่ยมากกว่าเดิมประมาณ 10 เท่า เป็นผลจากการระบาดของเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่ประชาชนยังไม่มีภูมิคุ้มกัน ดังนั้นเมื่อเข้าสู่เดือน ส.ค.-ก.ย. ซึ่งเป็นช่วงปกติที่ไข้หวัดใหญ่จะระบาดมากที่สุด ก็จะทำให้มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นแน่นอน
เตือนหวัด 2009 ระบาดต่อถึงต้นปี 53
นายวิทยา กล่าวต่อว่า การระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในรอบแรกของไทยครั้งนี้ จะต่อเนื่องไปถึงเดือน ม.ค.-ก.พ. ปี 2553 เพราะฤดูที่ระบาดมากจะอยู่ช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว แต่การที่ประชาชนตื่นตัวมากขึ้น ทำให้บางพื้นที่เริ่มเห็นอัตราป่วยค่อนข้างคงที่ไม่เพิ่มขึ้นเหมือนระยะแรก ถือเป็นสัญญาณที่ดี และการมีคณะอนุกรรมการสนับสนุนป้องกันฯ มาสนับสนุนและเป็นหน่วยงานกลางประสานกับทุกภาคส่วน จะทำให้การป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
** เผยมีเว็บแอบอ้างลักลอบนำยาจากไทยส่งขายญี่ปุ่น
นายวิทยา กล่าวถึงกรณีตัวเลขการจ่ายยาโอเซลทามิเวียร์ไปยังคลินิกว่า ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปจำนวนที่แน่นอนในการจ่ายยาไปยังคลินิกในแต่ละวัน ทั้งนี้ ต้องมีการปรับระบบการรายงานตัวเลข ต้องเสนอตัวเลขการจ่ายยา การใช้ยาที่เป็นจริง และเป็นตัวเลขปัจจุบันเพื่อที่จะสามารถควบคุมการจ่ายยาได้
“ขณะนี้มีข้อกังวลในเรื่องของเว็บไซต์ที่มีการโฆษณาขายยาว่ามียาโอเซลทามิเวียร์นำเข้าจากต่างประเทศขาย ซึ่งเกรงว่าจะเป็นยาปลอม นอกจากนี้ยังมีเว็บไซต์ภายในประเทศที่มีการอ้างใช้ชื่อในทำนองว่า “วิทยา 88” หรือ “วิทยา 99” ที่มีโพสต์ข้อความว่ามีการลักลอบนำยาจากไทย ส่งไปขายยังประเทศญี่ปุ่น ซึ่งตรงนี้กำลังทำการตรวจสอบว่ามีการลักลอบจริงหรือไม่ และได้มอบให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ติดตาม ตรวจสอบ พฤติกรรมดังกล่าวแล้ว เพราะยาโอเซลทามิเวียร์ที่ผลิตในไทยนั้นถือเป็นความมั่นคงทางสาธารณสุข ที่ต้องมีใช้ภายในประเทศอย่างเพียงพอ” รมว.สธ.กล่าว
จัดโซนนิ่งสกัดหวัด 2009 ดี แต่คุมยาก
เมื่อถามถึงกรณีที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีต รมว.สธ.แนะให้มีการจัดโซนนิ่งผู้ติดเชื้อไข้หวัด 2009 นายวิทยา กล่าวว่า เป็นคำแนะนำใช้ได้ แต่สิ่งที่ต้องการคือให้คนที่ป่วยอยู่กับบ้าน ไม่ต้องออกมาภายนอก ซึ่งหากจัดโซนนิ่งแล้วผู้ที่ติดเชื้อยังออกมานอกบ้าน จัดโซนนิ่งไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร และการควบคุมในคนนั้นทำได้ยาก ไม่เหมือนสัตว์ที่สามารถควบคุมให้อยู่ได้ภายในคอก ในกรงซึ่งจะควบคุมได้ง่ายกว่า
อภ.เตรียมทดลองวัคซีนในคน 6 ก.ย.นี้
นพ.วิทิต อรรถเวชกุล ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) กล่าวว่า ขณะนี้อภ.ได้เพิ่มกำลังการผลิตเจลล้างมือ และลดราคาเพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึง ในส่วนของยาโอเซลทามิเวียร์ได้เร่งกระจายออกสู่ภูมิภาควันละกว่า 700,000 เม็ดต่อวัน สำหรับการผลิตวัคซีนนั้นได้มีการติดตามการผลิตเพื่อให้ได้คุณภาพ ปลอดภัย และทันเวลามากที่สุด ซึ่งจากการประชุมคณะทำงานทบทวนแผน ติดตาม ครั้งล่าสุด มีข้อสรุปว่าในวันที่ 6 ก.ย.นี้ จะทำการส่งมอบวัคซีนให้กับคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล จัดการทดลองวัคซีนในคน ซึ่งเป็นอาสาสมัครจำนวน 24 คน ทั้งนี้คณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ จะเปิดรับอาสาสมัครในการทดลองเพิ่มเติม ส่วนขั้นตอนการพัฒนาวัคซีน ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมฉีดเชื้อในไข่ทดลองจำนวน 1,500 ฟอง โดยจะต้องรอการประเมินจากองค์การอนามัยโลก ซึ่งจะเดินทางมาเป็นครั้งที่ 2 ในวันที่ 10 ส.ค.นี้ หากผ่านการตรวจก็สามารถฉีดเชื้อลงไข่ได้ทันที เพื่อนำไปผลิตเป็นวัคซีนโดสแรกต่อไป
นพ.วิทิต กล่าวถึงกรณีที่มีเว็บไซต์โฆษณาขายยา ซึ่งเกรงว่าจะเป็นยาปลอมนั้น ยืนยันว่ายาต้านมีใช้เฉพาะในโรงพยาบาล คลินิกเท่านั้น ประชาชนไม่ควรซื้อผ่านเว็บหรือช่องทางอื่น ซึ่งอาจไม่ใช่ยาจริงและอาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียง เนื่องจากยาต้านต้องใช้โดยการดูแลของแพทย์
คณะอนุฯ หวัดสายพันธุ์ใหม่ เผยยุทธศาสตร์ผสานมือทุกภาคส่วน คุมหวัด 2009
นพ.มงคล ณ สงขลา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการฯ กล่าวว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้ จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งจัดการปัญหาไม่ได้ คณะอนุกรรมการฯ เห็นตรงกันว่า ยุทธศาสตร์สำคัญคือสร้างเจ้าภาพร่วมในการทำงาน โดยมาตรการเร่งด่วนจะดำเนินการใน 7 หน่วยงานและสถานที่ที่มีคนจำนวนมากไม่ต่ำกว่า 33 ล้านคน คือ 1.สถาบันการศึกษา ผ่านกระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียนสังกัด กทม. เอกชน 40,153 โรง 2.สถาบันอุดมศึกษา ร่วมกับมหาวิทยาลัยรัฐ เอกชน ราชภัฏ ราชมงคล 3.กลุ่มบริการขนส่งสาธารณะ องค์การขนส่งมวลชนฯ การรถไฟแห่งประเทศไทย รถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน บริษัทเรือด่วนเจ้าพระยา ที่จะติดตั้งเจลล้างมือบริเวณให้บริการ เช่น บนรถเมล์ ท่าเรือ สถานี ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ จะสนับสนุน 2 รูปแบบ คือ การมอบเจลล้างมือให้ในช่วงแรก และประสานกับองค์การเภสัชกรรม เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ จัดซื้อในราคาต่ำ โดยมีผู้ใช้บริการขนส่งสาธารณะไม่ต่ำกว่า 2 ล้าน 6 แสนคนต่อวัน คาดว่าจะเริ่มติดตั้งจุดล้างมือได้ภายในสัปดาห์หน้า 4.สามเหล่าทัพที่ได้รับความร่วมมือ จากกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ ที่จะให้นำสื่อให้ความรู้เรื่องไข้หวัดเข้าไปเผยแพร่ ซึ่งเป็นนโยบายของทุกเหล่าทัพที่จะป้องกันไข้หวัด 2009 เพื่อดูแลกำลังพลและครอบครัวกว่า 2 ล้านคน
นพ.มงคล กล่าวอีกว่า 5.กรุงเทพมหานคร ที่ร่วมมือจัดมาตรการดูแลสถานที่ชุมชน เช่น สวนสาธารณะ ตลาด โรงเรียน 6.กระทรวงแรงงาน ที่จะร่วมสนับสนุนสื่อในการจัดคาราวานแรงงานป้องกันไข้หวัด 2009 ทั่วประเทศ ที่มีแรงงานในประกันสังคมกว่า 9 ล้านคน 7.ชุมชนท้องถิ่น ผ่านกระทรวงมหาดไทย สนับสนุนสื่อใน อบต.ทั้ง 6,746 แห่ง โดยคณะอนุกรรมการฯ จะเดินหน้าประสานความร่วมมือ และสนับสนุนหน่วยงานอื่นๆต่อไป เพราะการป้องกัน คือการต่อสู้กับโรคไข้หวัด 2009 ได้อย่างดีที่สุด ส่วนมาตรการระยะยาวด้านวิชาการ ได้สนับสนุนให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยศึกษาวิจัยพัฒนาวิธีการตรวจสอบภูมิต้านทาน เพื่อทราบภูมิคุ้มกันในระดับชุมชน และใช้ประเมินประสิทธิภาพของวัคซีน พร้อมทั้งศึกษาระบบควบคุมป้องกันโรค เพื่อเตรียมทำข้อเสนอแนะปรับปรุงระบบของไทย ต่อรัฐบาลสำหรับหน่วยงานและประชาชน สามารถติดต่อขอรับสื่อให้ความรู้ อาทิ โปสเตอร์ สติกเกอร์ ได้ที่หมายเลข 1330 และ 1422 หรือดูข้อมูลได้ที่ www.flu2009thailand.com ที่จะมีวิธีการทดสอบการป่วยหรือไม่ป่วยด้วยโรคไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ องค์ความรู้และข้อมูลจากทั่วโลก ที่ปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่เสมอ
“หมอมงคล” เผย สธ.ยังอ่อนด้านการสื่อสาร
นพ.มงคล กล่าวต่อว่า สำหรับมาตราการป้องกันของ สธ.ที่ผ่านมาได้ดำเนินการอย่างเต็มที่แล้ว ซึ่งเรื่องทั้งหมดต้องรับผิดชอบร่วมกัน และที่เห็นว่าเป็นจุดอ่อนในการควบคุมไข้หวัดใหญ่ 2009 นั้นพบว่า การสื่อสารไปยังประชาชน การสร้างความเข้าใจยังมีไม่เพียงพอ ตอนนี้มีแต่การรายงานตัวเลขผู้ป่วย ผู้เสียชีวิต ซึ่งคิดว่าไม่มีประโยชน์ เพราะในหลายประเทศที่มีการแพร่ระบาดก็เลิกรายงานตัวเลขเหล่านี้หมดแล้ว และเราก็ไม่ควรมาเสียเวลากับเรื่องนี้ ดังนั้นควรจะหันมาให้ความรู้ถึงการควบคุม ป้องกันอย่างไร น่าจะมีประโยชน์ทางการสื่อสารไปถึงประชาชนมากกว่า
นพ.มงคล กล่าวอีกว่า สำหรับการแพร่เชื้อในต่างจังหวัดนั้นไม่น่าห่วง เพราะเป็นพื้นที่ที่ไม่แออัด ซึ่งโรคนี้ไม่ได้อยู่ในอากาศ แต่มาจากน้ำมูก น้ำลาย ซึ่งในชนบทโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก
วันนี้(7 ส.ค.) ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) มีการแถลงผลการประชุม “คณะอนุกรรมการสนับสนุนป้องกัน ควบคุม และการแก้ปัญหาการแพร่ระบาด ของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 สสส.” โดย นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า สำนักระบาดวิทยาประเมินสถานการณ์ของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ว่า ในช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย.นี้ คาดว่าการแพร่ระบาดยังเป็นช่วงขาขึ้น เนื่องจากสถิติที่ผ่านมาในปี 2551 มีผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ช่วงเดียวกันจำนวนประมาณ 10,000 รายต่อเดือน ขณะที่ปีนี้ในช่วงเดือน มิ.ย.และ ก.ค.ที่ผ่านมา มีรายงานผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เฉลี่ยมากกว่าเดิมประมาณ 10 เท่า เป็นผลจากการระบาดของเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่ประชาชนยังไม่มีภูมิคุ้มกัน ดังนั้นเมื่อเข้าสู่เดือน ส.ค.-ก.ย. ซึ่งเป็นช่วงปกติที่ไข้หวัดใหญ่จะระบาดมากที่สุด ก็จะทำให้มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นแน่นอน
เตือนหวัด 2009 ระบาดต่อถึงต้นปี 53
นายวิทยา กล่าวต่อว่า การระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในรอบแรกของไทยครั้งนี้ จะต่อเนื่องไปถึงเดือน ม.ค.-ก.พ. ปี 2553 เพราะฤดูที่ระบาดมากจะอยู่ช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว แต่การที่ประชาชนตื่นตัวมากขึ้น ทำให้บางพื้นที่เริ่มเห็นอัตราป่วยค่อนข้างคงที่ไม่เพิ่มขึ้นเหมือนระยะแรก ถือเป็นสัญญาณที่ดี และการมีคณะอนุกรรมการสนับสนุนป้องกันฯ มาสนับสนุนและเป็นหน่วยงานกลางประสานกับทุกภาคส่วน จะทำให้การป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
** เผยมีเว็บแอบอ้างลักลอบนำยาจากไทยส่งขายญี่ปุ่น
นายวิทยา กล่าวถึงกรณีตัวเลขการจ่ายยาโอเซลทามิเวียร์ไปยังคลินิกว่า ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปจำนวนที่แน่นอนในการจ่ายยาไปยังคลินิกในแต่ละวัน ทั้งนี้ ต้องมีการปรับระบบการรายงานตัวเลข ต้องเสนอตัวเลขการจ่ายยา การใช้ยาที่เป็นจริง และเป็นตัวเลขปัจจุบันเพื่อที่จะสามารถควบคุมการจ่ายยาได้
“ขณะนี้มีข้อกังวลในเรื่องของเว็บไซต์ที่มีการโฆษณาขายยาว่ามียาโอเซลทามิเวียร์นำเข้าจากต่างประเทศขาย ซึ่งเกรงว่าจะเป็นยาปลอม นอกจากนี้ยังมีเว็บไซต์ภายในประเทศที่มีการอ้างใช้ชื่อในทำนองว่า “วิทยา 88” หรือ “วิทยา 99” ที่มีโพสต์ข้อความว่ามีการลักลอบนำยาจากไทย ส่งไปขายยังประเทศญี่ปุ่น ซึ่งตรงนี้กำลังทำการตรวจสอบว่ามีการลักลอบจริงหรือไม่ และได้มอบให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ติดตาม ตรวจสอบ พฤติกรรมดังกล่าวแล้ว เพราะยาโอเซลทามิเวียร์ที่ผลิตในไทยนั้นถือเป็นความมั่นคงทางสาธารณสุข ที่ต้องมีใช้ภายในประเทศอย่างเพียงพอ” รมว.สธ.กล่าว
จัดโซนนิ่งสกัดหวัด 2009 ดี แต่คุมยาก
เมื่อถามถึงกรณีที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีต รมว.สธ.แนะให้มีการจัดโซนนิ่งผู้ติดเชื้อไข้หวัด 2009 นายวิทยา กล่าวว่า เป็นคำแนะนำใช้ได้ แต่สิ่งที่ต้องการคือให้คนที่ป่วยอยู่กับบ้าน ไม่ต้องออกมาภายนอก ซึ่งหากจัดโซนนิ่งแล้วผู้ที่ติดเชื้อยังออกมานอกบ้าน จัดโซนนิ่งไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร และการควบคุมในคนนั้นทำได้ยาก ไม่เหมือนสัตว์ที่สามารถควบคุมให้อยู่ได้ภายในคอก ในกรงซึ่งจะควบคุมได้ง่ายกว่า
อภ.เตรียมทดลองวัคซีนในคน 6 ก.ย.นี้
นพ.วิทิต อรรถเวชกุล ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) กล่าวว่า ขณะนี้อภ.ได้เพิ่มกำลังการผลิตเจลล้างมือ และลดราคาเพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึง ในส่วนของยาโอเซลทามิเวียร์ได้เร่งกระจายออกสู่ภูมิภาควันละกว่า 700,000 เม็ดต่อวัน สำหรับการผลิตวัคซีนนั้นได้มีการติดตามการผลิตเพื่อให้ได้คุณภาพ ปลอดภัย และทันเวลามากที่สุด ซึ่งจากการประชุมคณะทำงานทบทวนแผน ติดตาม ครั้งล่าสุด มีข้อสรุปว่าในวันที่ 6 ก.ย.นี้ จะทำการส่งมอบวัคซีนให้กับคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล จัดการทดลองวัคซีนในคน ซึ่งเป็นอาสาสมัครจำนวน 24 คน ทั้งนี้คณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ จะเปิดรับอาสาสมัครในการทดลองเพิ่มเติม ส่วนขั้นตอนการพัฒนาวัคซีน ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมฉีดเชื้อในไข่ทดลองจำนวน 1,500 ฟอง โดยจะต้องรอการประเมินจากองค์การอนามัยโลก ซึ่งจะเดินทางมาเป็นครั้งที่ 2 ในวันที่ 10 ส.ค.นี้ หากผ่านการตรวจก็สามารถฉีดเชื้อลงไข่ได้ทันที เพื่อนำไปผลิตเป็นวัคซีนโดสแรกต่อไป
นพ.วิทิต กล่าวถึงกรณีที่มีเว็บไซต์โฆษณาขายยา ซึ่งเกรงว่าจะเป็นยาปลอมนั้น ยืนยันว่ายาต้านมีใช้เฉพาะในโรงพยาบาล คลินิกเท่านั้น ประชาชนไม่ควรซื้อผ่านเว็บหรือช่องทางอื่น ซึ่งอาจไม่ใช่ยาจริงและอาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียง เนื่องจากยาต้านต้องใช้โดยการดูแลของแพทย์
คณะอนุฯ หวัดสายพันธุ์ใหม่ เผยยุทธศาสตร์ผสานมือทุกภาคส่วน คุมหวัด 2009
นพ.มงคล ณ สงขลา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการฯ กล่าวว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้ จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งจัดการปัญหาไม่ได้ คณะอนุกรรมการฯ เห็นตรงกันว่า ยุทธศาสตร์สำคัญคือสร้างเจ้าภาพร่วมในการทำงาน โดยมาตรการเร่งด่วนจะดำเนินการใน 7 หน่วยงานและสถานที่ที่มีคนจำนวนมากไม่ต่ำกว่า 33 ล้านคน คือ 1.สถาบันการศึกษา ผ่านกระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียนสังกัด กทม. เอกชน 40,153 โรง 2.สถาบันอุดมศึกษา ร่วมกับมหาวิทยาลัยรัฐ เอกชน ราชภัฏ ราชมงคล 3.กลุ่มบริการขนส่งสาธารณะ องค์การขนส่งมวลชนฯ การรถไฟแห่งประเทศไทย รถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน บริษัทเรือด่วนเจ้าพระยา ที่จะติดตั้งเจลล้างมือบริเวณให้บริการ เช่น บนรถเมล์ ท่าเรือ สถานี ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ จะสนับสนุน 2 รูปแบบ คือ การมอบเจลล้างมือให้ในช่วงแรก และประสานกับองค์การเภสัชกรรม เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ จัดซื้อในราคาต่ำ โดยมีผู้ใช้บริการขนส่งสาธารณะไม่ต่ำกว่า 2 ล้าน 6 แสนคนต่อวัน คาดว่าจะเริ่มติดตั้งจุดล้างมือได้ภายในสัปดาห์หน้า 4.สามเหล่าทัพที่ได้รับความร่วมมือ จากกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ ที่จะให้นำสื่อให้ความรู้เรื่องไข้หวัดเข้าไปเผยแพร่ ซึ่งเป็นนโยบายของทุกเหล่าทัพที่จะป้องกันไข้หวัด 2009 เพื่อดูแลกำลังพลและครอบครัวกว่า 2 ล้านคน
นพ.มงคล กล่าวอีกว่า 5.กรุงเทพมหานคร ที่ร่วมมือจัดมาตรการดูแลสถานที่ชุมชน เช่น สวนสาธารณะ ตลาด โรงเรียน 6.กระทรวงแรงงาน ที่จะร่วมสนับสนุนสื่อในการจัดคาราวานแรงงานป้องกันไข้หวัด 2009 ทั่วประเทศ ที่มีแรงงานในประกันสังคมกว่า 9 ล้านคน 7.ชุมชนท้องถิ่น ผ่านกระทรวงมหาดไทย สนับสนุนสื่อใน อบต.ทั้ง 6,746 แห่ง โดยคณะอนุกรรมการฯ จะเดินหน้าประสานความร่วมมือ และสนับสนุนหน่วยงานอื่นๆต่อไป เพราะการป้องกัน คือการต่อสู้กับโรคไข้หวัด 2009 ได้อย่างดีที่สุด ส่วนมาตรการระยะยาวด้านวิชาการ ได้สนับสนุนให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยศึกษาวิจัยพัฒนาวิธีการตรวจสอบภูมิต้านทาน เพื่อทราบภูมิคุ้มกันในระดับชุมชน และใช้ประเมินประสิทธิภาพของวัคซีน พร้อมทั้งศึกษาระบบควบคุมป้องกันโรค เพื่อเตรียมทำข้อเสนอแนะปรับปรุงระบบของไทย ต่อรัฐบาลสำหรับหน่วยงานและประชาชน สามารถติดต่อขอรับสื่อให้ความรู้ อาทิ โปสเตอร์ สติกเกอร์ ได้ที่หมายเลข 1330 และ 1422 หรือดูข้อมูลได้ที่ www.flu2009thailand.com ที่จะมีวิธีการทดสอบการป่วยหรือไม่ป่วยด้วยโรคไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ องค์ความรู้และข้อมูลจากทั่วโลก ที่ปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่เสมอ
“หมอมงคล” เผย สธ.ยังอ่อนด้านการสื่อสาร
นพ.มงคล กล่าวต่อว่า สำหรับมาตราการป้องกันของ สธ.ที่ผ่านมาได้ดำเนินการอย่างเต็มที่แล้ว ซึ่งเรื่องทั้งหมดต้องรับผิดชอบร่วมกัน และที่เห็นว่าเป็นจุดอ่อนในการควบคุมไข้หวัดใหญ่ 2009 นั้นพบว่า การสื่อสารไปยังประชาชน การสร้างความเข้าใจยังมีไม่เพียงพอ ตอนนี้มีแต่การรายงานตัวเลขผู้ป่วย ผู้เสียชีวิต ซึ่งคิดว่าไม่มีประโยชน์ เพราะในหลายประเทศที่มีการแพร่ระบาดก็เลิกรายงานตัวเลขเหล่านี้หมดแล้ว และเราก็ไม่ควรมาเสียเวลากับเรื่องนี้ ดังนั้นควรจะหันมาให้ความรู้ถึงการควบคุม ป้องกันอย่างไร น่าจะมีประโยชน์ทางการสื่อสารไปถึงประชาชนมากกว่า
นพ.มงคล กล่าวอีกว่า สำหรับการแพร่เชื้อในต่างจังหวัดนั้นไม่น่าห่วง เพราะเป็นพื้นที่ที่ไม่แออัด ซึ่งโรคนี้ไม่ได้อยู่ในอากาศ แต่มาจากน้ำมูก น้ำลาย ซึ่งในชนบทโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก
