รายงานพิเศษ โดย...พงศ์เมธ ล่องเซ่ง
แม้จะย่างเข้าสู่ปีสุดท้ายในชีวิตการทำงานก่อนเกษียณอายุราชการของ “ประเสริฐ งามพันธุ์” เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) แต่ทุกวันนี้หนุ่มใหญ่ใจดีผู้นี้ ยังคงก้มหน้าทำงานอย่างขันแข็งต่อไป ในฐานะหัวเรือใหญ่แห่งองค์กรที่ต้องบริหาร วางกรอบนโยบาย ออกกฎระเบียบ หลักเกณฑ์อัตรากำลังแม่พิมพ์ทั่วประเทศที่มีกว่า 5 แสนคน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นงานที่หนักเอาการเลยทีเดียว...
สำหรับการรับมือกับงานนั้น เลขาฯ ก.ค.ศ.เผยถึงเคล็ดลับ ว่า ในฐานะที่เป็นเบอร์หนึ่งขององค์กรบทบาทจึงถูกแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบ คือ 1.การเป็นผู้บริหาร 2.การเป็นผู้บังคับบัญชา 3.การเป็นผู้นำ และ 4.การเป็นผู้ประสานงาน ทั้ง 4 บทบาทนี้ จึงจำเป็นต้องจัดสรรให้ลงตัวในแต่ละวัน ซึ่งตนจะใช้เวลาตั้งแต่ตื่นนอนตอนตี 4 มานั่งกางตารางงาน ว่า แต่ละวันต้องทำอะไร ซึ่งหลักการง่ายๆ คือ ต้องให้ความสำคัญในเรื่องของเวลา และมีการวางแผนงานให้ชัดเจน ต้องศึกษาหลัก ข้อระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานนั้นๆ เพื่อความสะดวกในการทำงาน
“ไม่ว่าจะวางแผน กำหนดเวลาที่ชัดเจนแค่ไหน ก็ยังมีปัญหาเกิดขึ้นอยู่บ้าง อย่างในงานบางงานหากเราทำคนเดียวอาจทำให้งานล่าช้า ดังนั้น ในฐานะผู้บังคับบัญชาจึงต้องมีอำนาจในการมอบหมายงานให้เป็น สามารถเอื้ออำนาจให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเข้ามาช่วย เพราะในวันเดียวไม่มีทางที่คนๆ หนึ่งจะทำงานให้เสร็จสมบูรณ์ได้ทั้งหมดโดยปราศจากผู้ช่วยที่เหมาะสมในแต่ละงาน”
ถึงงานหนักแค่ไหนแต่สิ่งหนึ่งที่ลืมไม่ได้ คือ การเติมพลังให้ร่างกาย ซึ่ง เลขาฯ ก.ค.ศ.บอกว่า การจะทำให้มีแรงทำงานได้ตลอดเวลาก็ต้องขึ้นอยู่กับการสร้างกำลัง ซึ่งสิ่งแรก คือ “กำลังกาย” ถึงตนจะไม่ใช่คนที่เล่นฟิตเนส ออกแรงหนักๆ แต่ก็ใช้วิธีการบริหาร เคลื่อนไหวร่างกายแบบเบาๆ อย่าง ซิตอัพ หายใจยาวๆ เพื่อบริหารปอด ซึ่งตื่นขึ้นมาก็ทำได้ทันที และกินอาหารที่เน้นผักผลไม้ ปลา ลดเนื้อสัตว์ใหญ่ เพราะย่อยง่ายและเหมาะสำหรับคนมีอายุ
ต่อมาคือ “กำลังใจ” ที่จะเน้นในเรื่องธรรมะ การทำสมาธิ โดยเจียดเวลาเพียงแค่ 5 นาที ก็เพียงพอ และสามารถทำได้สำหรับคนที่ยุ่งกับงาน อย่างพระท่านเคยบอกว่าเพียงแค่นั่งสงบจิตแค่ปีกแมลงกะพริบก็ทำให้มีความสุขแล้ว ฉะนั้น เมื่อจิตคนไม่ค่อยได้พัก การนั่งสมาธิ ก็ถือว่าเป็นการพักผ่อนด้านจิตใจที่ดีที่สุด
“การทำจิตให้สงบจะนำมาซึ่งสมาธิในการทำงาน เรียกความจำกลับคืนมา ช่วยให้จิตสะอาด หากคนไม่ทำสมาธิบ้างก็จะยิ่งเครียด ถ้าไม่ระบายเครียดก็จะยิ่งอึดอัดในการทำงาน ขอแค่ทุกคนนั่งหลับตาเพ่งจิตไปที่ใดที่หนึ่ง กำหนดลมหายใจเข้าออก อาจมองดูง่ายแต่สำคัญมาก ดังนั้นเราต้องหาเวลาทำให้ได้ ถามว่าทำไมเราต้องหาเวลากินข้าว หาเวลาออกกำลังกาย แล้วจิตใจล่ะก็ต้องการเวลาที่จะได้พักให้สงบเช่นกัน”
เลขาฯ ก.ค.ศ.บอกต่อว่า อีกส่วนที่ไม่ควรลืม คือ การเสริม “กำลังสมอง” ด้วยอาหารสมองทั้งการหาความรู้ สืบค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต อ่าน ฟังข่าวสาร ให้มากจะช่วยเติมอาหารสมองได้ สำหรับหนังสือนั้นก็อ่านได้ทุกประเภท แต่จะเน้นเนื้อหาเชิงข้อคิดอย่าง พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่จะทรงแฝงไว้ด้วยปรัชญา แง่คิดแก่ชีวิตเสมอ อ่านแล้วไม่เบื่อ และยังมีหนังสือคำสอนทางธรรม อย่าง “เรื่องอารมณ์ขัน ของสมเด็จโต” ที่ไม่ว่าจะอ่านตอนไหนก็มีความสุข เพราะท่านสอนให้คนเป็นคนธรรมดา ไม่ฟุ้งเฟ้อซึ่งเหมาะอย่างยิ่งกับการใช้ชีวิตในยุคปัจจุบัน
เห็นเป็นคนทุ่มเทกับงานมากขนาดนี้ แต่ในเรื่องครอบครัวแล้วเรียกได้ว่าเป็นแฟมิลี่แมนตัวจริงเสียงจริงเลยทีเดียว โดย เลขาฯ ก.ค.ศ.เล่าให้ฟังว่า ถึงแม้จะอยู่คนเดียวในกรุงเทพฯ แต่เมื่อถึงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ก็จะขับรถกลับไปหาภรรยาและลูกที่ จ.สระบุรี ทันที แม้ในบางครั้งจะไม่มีโอกาสได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน ก็เลือกที่จะโทรศัพท์ถามสารทุกข์สุขดิบถึงกันตลอด เพราะเห็นว่าแม้เพียงสัมผัสกันด้วยเสียงก็บอกได้ถึงความผูกพันที่ส่งถึงกันแล้ว
สำหรับอนาคตภายหลังเกษียณนั้น เลขาฯ ก.ค.ศ.เล็งเอาไว้ว่า อาจจะผันตัวเองไปเป็นที่ปรึกษา ให้คำแนะนำน้องๆ ภายในองค์กร หรือเป็นนักวิชาการ อาจารย์พิเศษ และวิทยากรในมหาวิทยาลัยต่างๆ แต่หากไม่ใช่งานวิชาการอาจจะเข้าไปทำเรื่องของกิจการลูกเสือ ซึ่งเป็นงานที่คลุกคลี และดูแลมานาน ซึ่งงานลูกเสือกิจกรรมที่สอนให้คนมีระเบียบวินัย โดยงานนี้ไม่มีคำว่าเกษียณคือทำได้ไปจนกว่าจะเดินไม่ไหวนั่นเอง
“ที่สุดแล้วอยากฝากไปถึงการใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบันว่าการทำตัวง่ายๆ กินง่าย อยู่ง่าย แต่ไม่มักง่าย ไปที่ไหนก็จะไม่ลำบาก ทำตัวให้เรียบง่ายยึดตามแนวทางปรัชญาของในหลวง ที่พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างให้คนไทยได้เดินตามรอย และสามารถนำมาปรับใช้ได้ดีที่สุด” เลขาฯ ก.ค.ศ.ทิ้งท้าย