“วิทยา” ไม่ห้ามใช้ “น้ำมนต์” สู้หวัด เผยเป็นเรื่องของกำลังใจ แต่หากเป็นไข้สูงเกิน 2 วันต้องพบแพทย์ ยอมรับข้อห่วงใยของนักวิชาการ กรณีให้ข้อมูลความรู้ประชาชนน้อยเกินไป คาดคนไทยป่วยจริงแสนคน พร้อมจี้ สปสช.คุมมาตรฐานใช้บัตรทอง 30 บาทอย่าให้มีปัญหา
นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังรณรงค์สร้าง 4 สุขอนามัย ป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่ท่าน้ำนนทบุรี และทำความสะอาดท่าน้ำว่า จากกรณีที่มีการจัดทำน้ำมนต์สู้ไข้หวัดใหญ่ 2009 นั้น ถือเป็นเรื่องของการสร้างขวัญและกำลังใจ แต่หากไม่สบายใจควรรีบพบแพทย์ทันที มีไข้สูงเกิน 2 วันอย่านิ่งนอนใจ เชื่อประชาชนจะมีความเข้าใจในเรื่องนี้ และตามหลักรัฐธรรมนูญการให้บริการการรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ก็ให้การรักษาฟรี ฉะนั้น หากจะดื่มน้ำมนต์ร่วมกับการรับประทานรักษาไข้หวัดใหญ่ 2009 ก็ไม่ขัดข้องเพราะถือเป็นการสร้างกำลังใจ
นายวิทยา ยังกล่าวยอมรับข้อห่วงใยของนักวิชาการจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เรื่องการให้ความรู้ไข้หวัดใหญ่ 2009 กับประชาชนน้อยเกินไป และยอมรับว่านายกรัฐมนตรีเองก็ให้ความห่วงใยเรื่องนี้เช่นกัน โดยเน้นการทำให้ประชาชนเข้าถึงยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์และลดอัตราการเสียชีวิตให้ได้มากที่สุด ย้ำหากเจ็บป่วยควรพักผ่อนอยู่กับบ้าน และหากมีไข้สูงควรพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทันที
ส่วนกรณีที่ได้รับการร้องเรียนการรักษาไข้หวัดใหญ่ 2009 ด้วยบัตรทอง 30 บาท แล้วเสียชีวิตว่าได้ประสานให้ทางเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ดูแล และให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขประสานโรงพยาบาลเอกชน เพื่อให้มาตรการการรักษาเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
นายวิทยา กล่าวอีกว่า ส่วนที่ประเทศอังกฤษมีการรายงานพบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ 2009 ถึง 600,000 คนว่า คาดว่าในส่วนของประเทศไทยจะมีผู้ป่วยที่แท้จริงประมาณ 100,000 คน แล้ว แต่ไม่แสดงอาการ เนื่องจากร้อยละ 90 ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง แต่ร้อยละ 10 เป็นผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว จึงอาจทำให้มีอาการรุนแรง ส่วนประเทศไทยจะมีการปรับตัวเลขผู้ป่วยที่แท้จริงหรือไม่ ต้องให้ทางสำนักระบาดวิทยาเป็นผู้ประเมิน
ด้านนพ.มงคล ณ สงขลา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธาณณสุข (สธ.) กล่าวแสดงความคิดเห็นกรณีการทำงานควบคุมโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ของกระทรวงฯ เชื่อว่าทุกฝ่ายมีความหวังดีตั้งใจทำงาน แม้คนภายนอกอาจมองว่ามีการเปลี่ยนแปลงมาตรการรายวัน หรือแก้ปัญหายังไม่ตรงจุดทั้งการประชาสัมพันธ์เดินแบบหน้ากากอนามัย การปล่อยขบวนรณรงค์ ที่อาจไม่ใช่การให้ความรู้ตรงจุด แต่เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคใหม่ที่เกิดขึ้นเพียง 6 เดือน จึงต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ ส่วนตัวแล้วขอให้กำลังใจกับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานทุกคน และขอให้ประชาชนตั้งสติในการรับข่าวสาร อย่าคิดตำหนิ และดูแลรักษาสุขภาพตนเองด้วย
นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังรณรงค์สร้าง 4 สุขอนามัย ป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่ท่าน้ำนนทบุรี และทำความสะอาดท่าน้ำว่า จากกรณีที่มีการจัดทำน้ำมนต์สู้ไข้หวัดใหญ่ 2009 นั้น ถือเป็นเรื่องของการสร้างขวัญและกำลังใจ แต่หากไม่สบายใจควรรีบพบแพทย์ทันที มีไข้สูงเกิน 2 วันอย่านิ่งนอนใจ เชื่อประชาชนจะมีความเข้าใจในเรื่องนี้ และตามหลักรัฐธรรมนูญการให้บริการการรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ก็ให้การรักษาฟรี ฉะนั้น หากจะดื่มน้ำมนต์ร่วมกับการรับประทานรักษาไข้หวัดใหญ่ 2009 ก็ไม่ขัดข้องเพราะถือเป็นการสร้างกำลังใจ
นายวิทยา ยังกล่าวยอมรับข้อห่วงใยของนักวิชาการจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เรื่องการให้ความรู้ไข้หวัดใหญ่ 2009 กับประชาชนน้อยเกินไป และยอมรับว่านายกรัฐมนตรีเองก็ให้ความห่วงใยเรื่องนี้เช่นกัน โดยเน้นการทำให้ประชาชนเข้าถึงยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์และลดอัตราการเสียชีวิตให้ได้มากที่สุด ย้ำหากเจ็บป่วยควรพักผ่อนอยู่กับบ้าน และหากมีไข้สูงควรพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทันที
ส่วนกรณีที่ได้รับการร้องเรียนการรักษาไข้หวัดใหญ่ 2009 ด้วยบัตรทอง 30 บาท แล้วเสียชีวิตว่าได้ประสานให้ทางเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ดูแล และให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขประสานโรงพยาบาลเอกชน เพื่อให้มาตรการการรักษาเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
นายวิทยา กล่าวอีกว่า ส่วนที่ประเทศอังกฤษมีการรายงานพบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ 2009 ถึง 600,000 คนว่า คาดว่าในส่วนของประเทศไทยจะมีผู้ป่วยที่แท้จริงประมาณ 100,000 คน แล้ว แต่ไม่แสดงอาการ เนื่องจากร้อยละ 90 ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง แต่ร้อยละ 10 เป็นผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว จึงอาจทำให้มีอาการรุนแรง ส่วนประเทศไทยจะมีการปรับตัวเลขผู้ป่วยที่แท้จริงหรือไม่ ต้องให้ทางสำนักระบาดวิทยาเป็นผู้ประเมิน
ด้านนพ.มงคล ณ สงขลา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธาณณสุข (สธ.) กล่าวแสดงความคิดเห็นกรณีการทำงานควบคุมโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ของกระทรวงฯ เชื่อว่าทุกฝ่ายมีความหวังดีตั้งใจทำงาน แม้คนภายนอกอาจมองว่ามีการเปลี่ยนแปลงมาตรการรายวัน หรือแก้ปัญหายังไม่ตรงจุดทั้งการประชาสัมพันธ์เดินแบบหน้ากากอนามัย การปล่อยขบวนรณรงค์ ที่อาจไม่ใช่การให้ความรู้ตรงจุด แต่เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคใหม่ที่เกิดขึ้นเพียง 6 เดือน จึงต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ ส่วนตัวแล้วขอให้กำลังใจกับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานทุกคน และขอให้ประชาชนตั้งสติในการรับข่าวสาร อย่าคิดตำหนิ และดูแลรักษาสุขภาพตนเองด้วย
