แพทย์ชี้ รูมาตอยด์เพชฌฆาตเงียบสุดทรมาน รู้ตัวช้าโอกาสหายขาดไม่เกิน 10% ผู้หญิงเสี่ยง 80-90% มากกว่าผู้ชาย เหตุฮอร์โมนหญิงมีส่วนก่อให้เกิดโรค คาดคนไทยป่วยกว่า 2 แสนคน
พญ.รัตนวดี ณ นคร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรครูมาตอยด์ ในฐานะนายกสมาคมรูมาติสซัมแห่งประเทศไทย กล่าวในการสัมมนา “อยู่อย่างเป็นสุขกับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์” ว่า ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีการสำรวจสถานการณ์ของโรครูมาตอยด์อย่างเป็นทางการ แต่มีการประมาณการจากการสำรวจขั้นพื้นฐาน พบว่า ทุกๆ 1,000 คน จะมีผู้เป็นโรครูมาตอยด์ประมาณ 2-3 คน ตัวเลขเบื้องต้นทั้งประเทศน่าจะอยู่ที่ 200,000 คน โดยช่วงอายุที่เป็นมากที่สุด คือ ช่วง 30-40 ปี และจะเป็นในเพศหญิงถึง 80-90% เนื่องจากฮอร์โมนเพศหญิงมีส่วนสำคัญในการเกิดโรค
“แนวโน้มในประเทศไทยโรคนี้มีเพิ่มมากขึ้น เพราะคนรู้จักมากขึ้น ขณะที่ในอดีตที่ผ่านมามักจะไม่ทราบว่าเป็นโรคนี้ เพราะส่วนใหญ่จะคิดว่าเป็นโรคเกี่ยวกับข้อ หรือกระดูก ซึ่งโรคนี้หากรักษาตั้งแต่เริ่มต้น หรือระยะแรกๆ จะสามารถรักษาหรือควบคุมได้ถึง 60-85% แต่ส่วนใหญ่มักจะรู้หลังจากเป็นไปมากแล้ว ทำให้โอกาสหายขาดไม่เกิน 10% โรคนี้ถือว่าเป็นเพชรฆาตเงียบที่ทรมานผู้ป่วยเป็นอย่างยิ่ง”พญ.รัตนวดี กล่าว
นายไพบูลย์ เอี่ยมแสงชัยรัตน์ ประธานชมรมเรียนรู้สู้รูมาตอยด์ ซึ่งเป็นผู้ที่มีมารดาป่วยโรครูมาตอยด์ กล่าวว่า โรคนี้อาจจะไม่ถึงเสียชีวิต แต่ทรมาน ในอดีตข้อมูลของโรคนี้ค่อนข้างจะหายาก ทำให้หลายคนไม่เข้าใจว่าเป็นโรคอะไร หลายคนหมดกำลังใจจนไม่สามารถอยู่ในสังคมได้ จึงมีการจัดตั้งชมรมเพื่อให้ผู้ป่วยและญาติอยู่กับโรคนี้อย่างมีความสุข ซึ่งญาติและผู้ป่วยสามารถติดต่อกับชมรมที่ โทร.085-6756-472
สำหรับโรครูมาตอยด์นั้น สมาคมรูมาติสซัมแห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า โรครูมาตอยด์เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเด่น คือ มีการงอกของเยื่อบุข้ออย่างมาก เยื่อบุข้อนี้จะลุกลามและทำลายกระดูกและข้อในที่สุด โรคนี้มิได้เป็นแต่เฉพาะข้อเท่านั้น ยังอาจมีอาการทางระบบอื่นๆ อีก เช่น ตา ประสาท กล้ามเนื้อ เป็นต้น และยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน แต่จากการศึกษาพบว่าโรคนี้มีส่วนเกี่ยวกับการติดเชื้อบางอย่าง และมีส่วนเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม
ส่วนอาการในระยะแรก ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการอ่อนเพลีย ปวดตามข้อ มีอาการฝืดขัดข้อเป็นเวลานานในตอนเช้า เมื่อมีอาการชัดเจนข้อจะมีการบวม ร้อน และปวด โรคนี้สามารถเป็นได้กับทุกข้อของร่างกาย แต่ที่พบบ่อยคือข้อของนิ้วมือ ข้อมือ ข้อเข่า ข้อเท้า และข้อนิ้วเท้า อาการของข้ออักเสบจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ในบางรายอาจมีอาการรุนแรงแบบเฉียบพลันได้ บางรายอาจมีไข้ เบื่ออาหาร และน้ำหนักลดร่วมด้วยได้ ในรายที่มีอาการรุนแรงอาจมีอาการทางระบบตา ปอด และมีปุ่มขึ้นตามตัวได้
การรักษาทำได้โดยการใช้ยา การพักผ่อน และการบริหารร่างกาย การป้องกันไม่ให้ข้อถูกทำลายมากขึ้น หลีกเลี่ยงการนั่งพับเข่าในกรณีที่มีข้อเข่าอักเสบ หรือการบิดข้อมือในกรณีที่มีข้อมืออักเสบ และการผ่าตัดซ่อมแซมหรือเปลี่ยนข้อในกรณีที่ข้อถูกทำลายไปมาก หรือกรณีที่เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เอ็นขาด เป็นต้น
พญ.รัตนวดี ณ นคร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรครูมาตอยด์ ในฐานะนายกสมาคมรูมาติสซัมแห่งประเทศไทย กล่าวในการสัมมนา “อยู่อย่างเป็นสุขกับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์” ว่า ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีการสำรวจสถานการณ์ของโรครูมาตอยด์อย่างเป็นทางการ แต่มีการประมาณการจากการสำรวจขั้นพื้นฐาน พบว่า ทุกๆ 1,000 คน จะมีผู้เป็นโรครูมาตอยด์ประมาณ 2-3 คน ตัวเลขเบื้องต้นทั้งประเทศน่าจะอยู่ที่ 200,000 คน โดยช่วงอายุที่เป็นมากที่สุด คือ ช่วง 30-40 ปี และจะเป็นในเพศหญิงถึง 80-90% เนื่องจากฮอร์โมนเพศหญิงมีส่วนสำคัญในการเกิดโรค
“แนวโน้มในประเทศไทยโรคนี้มีเพิ่มมากขึ้น เพราะคนรู้จักมากขึ้น ขณะที่ในอดีตที่ผ่านมามักจะไม่ทราบว่าเป็นโรคนี้ เพราะส่วนใหญ่จะคิดว่าเป็นโรคเกี่ยวกับข้อ หรือกระดูก ซึ่งโรคนี้หากรักษาตั้งแต่เริ่มต้น หรือระยะแรกๆ จะสามารถรักษาหรือควบคุมได้ถึง 60-85% แต่ส่วนใหญ่มักจะรู้หลังจากเป็นไปมากแล้ว ทำให้โอกาสหายขาดไม่เกิน 10% โรคนี้ถือว่าเป็นเพชรฆาตเงียบที่ทรมานผู้ป่วยเป็นอย่างยิ่ง”พญ.รัตนวดี กล่าว
นายไพบูลย์ เอี่ยมแสงชัยรัตน์ ประธานชมรมเรียนรู้สู้รูมาตอยด์ ซึ่งเป็นผู้ที่มีมารดาป่วยโรครูมาตอยด์ กล่าวว่า โรคนี้อาจจะไม่ถึงเสียชีวิต แต่ทรมาน ในอดีตข้อมูลของโรคนี้ค่อนข้างจะหายาก ทำให้หลายคนไม่เข้าใจว่าเป็นโรคอะไร หลายคนหมดกำลังใจจนไม่สามารถอยู่ในสังคมได้ จึงมีการจัดตั้งชมรมเพื่อให้ผู้ป่วยและญาติอยู่กับโรคนี้อย่างมีความสุข ซึ่งญาติและผู้ป่วยสามารถติดต่อกับชมรมที่ โทร.085-6756-472
สำหรับโรครูมาตอยด์นั้น สมาคมรูมาติสซัมแห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า โรครูมาตอยด์เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเด่น คือ มีการงอกของเยื่อบุข้ออย่างมาก เยื่อบุข้อนี้จะลุกลามและทำลายกระดูกและข้อในที่สุด โรคนี้มิได้เป็นแต่เฉพาะข้อเท่านั้น ยังอาจมีอาการทางระบบอื่นๆ อีก เช่น ตา ประสาท กล้ามเนื้อ เป็นต้น และยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน แต่จากการศึกษาพบว่าโรคนี้มีส่วนเกี่ยวกับการติดเชื้อบางอย่าง และมีส่วนเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม
ส่วนอาการในระยะแรก ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการอ่อนเพลีย ปวดตามข้อ มีอาการฝืดขัดข้อเป็นเวลานานในตอนเช้า เมื่อมีอาการชัดเจนข้อจะมีการบวม ร้อน และปวด โรคนี้สามารถเป็นได้กับทุกข้อของร่างกาย แต่ที่พบบ่อยคือข้อของนิ้วมือ ข้อมือ ข้อเข่า ข้อเท้า และข้อนิ้วเท้า อาการของข้ออักเสบจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ในบางรายอาจมีอาการรุนแรงแบบเฉียบพลันได้ บางรายอาจมีไข้ เบื่ออาหาร และน้ำหนักลดร่วมด้วยได้ ในรายที่มีอาการรุนแรงอาจมีอาการทางระบบตา ปอด และมีปุ่มขึ้นตามตัวได้
การรักษาทำได้โดยการใช้ยา การพักผ่อน และการบริหารร่างกาย การป้องกันไม่ให้ข้อถูกทำลายมากขึ้น หลีกเลี่ยงการนั่งพับเข่าในกรณีที่มีข้อเข่าอักเสบ หรือการบิดข้อมือในกรณีที่มีข้อมืออักเสบ และการผ่าตัดซ่อมแซมหรือเปลี่ยนข้อในกรณีที่ข้อถูกทำลายไปมาก หรือกรณีที่เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เอ็นขาด เป็นต้น