กรมควบคุมโรคชี้ อย่าตระหนกเอดส์พันธุ์ผสมแอฟริกา แม้แพร่เชื้อง่ายกว่าพันธุ์ไทย แต่สัดส่วนดื้อยาไม่ต่างกัน แถมใช้ถุงยางอนามัยป้องกันโรคได้ผล เผยไทยพบเอดส์สายพันธุ์ผสม เฉลี่ย 0.5-1.8% แต่พบผสมสายพันธุ์แอฟริกาเป็นครั้งแรก แต่ผู้ป่วยยังมีปริมาณน้อย ไม่จำเป็นต้องรักษาแยกสายพันธุ์ แต่เน้นเฝ้าระวังเชื้อดื้อยามากขึ้น
นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณีงานวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่ามีผู้ป่วย 2 ราย ที่มีสายพันธุ์เอชไอวีต่างจากเดิม และอาจเป็นสายพันธุ์เอดส์ลูกผสมที่ไม่เคยเจอมาก่อนในโลก โดยรายแรกเป็นเชื้อเอชไอวีผสมระหว่าง 3 สายพันธุ์ ได้แก่ เอ จี และดี เรียกว่า เอจี-ดี(AG/D) ส่วนรายที่สองเป็นเชื้อเอชไอวีผสม 3 สายพันธุ์ ได้แก่ เอ อี และจี เรียกว่า เออี-จี(AE/G) นั้นว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบว่ามีผู้ติดเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ผสมนี้มากน้อยเพียงใด แต่เมื่อมีการตรวจพบก็ต้องมีการเฝ้าระวังเข้มข้นขึ้น รวมทั้งไม่สามารถสอบสวนโรคได้ว่ามีเส้นทางการติดเชื้อได้อย่างไร เนื่องจากงานวิจัยดังกล่าวเป็นการตรวจสอบเชื้อจากเลือดของผู้ป่วยโดยไม่ได้ระบุว่าเป็นเลือดของบุคคลใด แต่คาดว่าผู้ติดเชื้ออาจมีแฟนหรือเคยเดินทางไปในประเทศแถบทวีปแอฟริกา
“ที่ผ่านมามีการศึกษาการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ของเชื้อไวรัสเอชไอวี เพื่อให้ทราบว่าในแต่ละปีเชื้อมีการเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใด โดยทั่วโลกมีไวรัสเอชไอวีกว่า 20 สายพันธุ์ ซึ่งในปัจจุบันยังไม่พบสายพันธุ์ใหม่ หรือพันธุ์ผสมที่ส่งผลต่อการป้องกันและควบคุมโรคที่ต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการป้องกัน ดังนั้นจึงสามารถป้องกันได้ด้วยการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์” นพ.สมศักดิ์ กล่าว
นพ.สมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้การตรวจพบผู้ป่วยเอดส์สายพันธุ์ผสมในประเทศไทย ถือว่าไม่กระทบต่อระบบป้องกันและควบคุมโรคของไทย เนื่องจากจากการวิเคราะห์ของนักวิชาการพบว่า เอดส์สายพันธุ์ผสมนี้สามารถใช้ยาต้านไวรัสที่มีอยู่ คือ ยาสูตรพื้นฐานและยาสูตรดื้อยาใช้ได้ผลเช่นเดียวกับสายพันธุ์ไทย แต่แตกต่างกันที่เชื้อพันธุ์ผสมมีจำนวนเชื้อในสารคัดหลั่งมากกว่าสายพันธุ์ ส่วนจะมีปริมาณเชื้อแตกต่างกันเท่าไหร่นั้นต้องมีการศึกษาต่อไป
“การที่พบปริมาณเชื้อในสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ผสมมากกว่าในสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ไทยจะส่งผลให้การแพร่เชื้อง่ายขึ้น เพราะมีปริมาณเชื้อจำนวนมากขึ้น โอกาสติดก็มากขึ้น แต่หากประชาชนป้องกันตนเองด้วยการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ก็สามารถป้องกันการติดเชื้อเอดส์สายพันธุ์ผสมได้เช่นเดียวกับการป้องกันเอดส์สายพันธุ์อื่น”นพ.สมศักดิ์กล่าว
นพ.สมศักดิ์ กล่าวด้วยว่า จากการเก็บข้อมูลผู้ป่วยเอดส์ในประเทศไทย เพื่อศึกษาเกี่ยวกับอัตราเชื้อดื้อยา พบว่า ผู้ป่วยเอดส์ที่ติดเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ไทยดื้อยาประมาณ 10% เป็นผลมาจากการที่เชื้อมีการพัฒนาจนดื้อยาและผู้ป่วยรับประทานยาไม่ต่อเนื่อง และคาดการว่าเชื้อสายพันธุ์ผสมมีอัตราการดื้อยาที่ 10% เท่ากัน ซึ่งปัจจุบันยาต้านไวรัสที่ให้กับผู้ป่วยเอดส์ มี 2 สูตร ได้แก่ สูตรพื้นฐานและสูตรดื้อยา โดยประเทศไทยมีผู้ป่วยที่ได้รับยาต้านไวรัสประมาณ 2 แสนคน รับยาสูตรพื้นฐานประมาณ 1.5-1.6 แสนคน อีกราว 4-5 หมื่นคนรับยาสูตรดื้อยา
ด้าน พญ.พัชรา ศิริวงศ์รังสรร ผู้อำนวยการสำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ผู้ป่วยเอดส์ในประเทศไทยส่วนใหญ่จะติดเชื้อสายพันธุ์อี 80-90% ที่เหลืออีกประมาณ 10-20% ติดเชื้อสายพันธุ์บี ที่มาจากประเทศในแถบตะวันตก และจากการเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงของไวรัสเอชไอวีในประเทศไทย พบว่า ที่ผ่านมามีการตรวจพบผู้ป่วยเอดส์ที่ติดเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ลูกผสมอื่นๆเฉลี่ยประมาณ 0.5-1.8% แต่การตรวจพบสายพันธุ์ผสม 3 สายพันธุ์ที่คาดว่าเป็นสายพันธุ์แอฟริกาถือว่าพบเป็นครั้งแรก ซึ่งการติดตามความเปลี่ยนแปลงของเชื้อไวรัสจะทำให้ทราบถึงธรรมชาติของการระบาดวิทยาของแต่ละสายพันธุ์ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร มีแนวโน้มความรุนแรงมากน้อยแค่ไหนและมีอัตราการดื้อยาเป็นเช่นไร
“ในการตรวจผู้ป่วยจะดำเนินการเพียงแค่ตรวจหาปริมาณระดับเม็ดเลือดขาวในกระแสเลือด หรือซีดีโฟร์ และดูอาการของผู้ป่วยว่าจำเป็นต้องให้ยาต้านไวรัสหรือไม่ หากแพทย์เห็นว่าต้องให้ยาก็จะให้ทันทีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยไม่ได้แยกว่าผู้ป่วยติดเชื้อเอดส์สายพันธุ์ไหน ขณะนี้จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสำรวจจำนวนผู้ป่วยเอดส์ที่ติดเชื้อไวรัส 3 สายพันธุ์ เพราะยังมีปริมาณน้อยมาก แต่จะต้องเฝ้าระวังว่าผู้ป่วยที่ได้รับยามีการตอบสนองดีหรือไม่ และเชื้อสายพันธุ์นี้และสายพันธุ์อื่นๆ ดื้อยาที่มีอยู่หรือไม่ แต่หากในอนาคตพบผู้ป่วยสายพันธุ์นี้จำนวนมากขึ้นก็อาจจะมีอัตราดื้อยาที่สูงขึ้น จึงค่อยพิจารณาเปลี่ยนสูตรยาให้ใช้ได้ผลกับแต่ละสายพันธุ์ แต่ขณะนี้ยายังใช้ได้ผลกับสายพันธุ์ผสม” พญ.พัชรากล่าว
นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณีงานวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่ามีผู้ป่วย 2 ราย ที่มีสายพันธุ์เอชไอวีต่างจากเดิม และอาจเป็นสายพันธุ์เอดส์ลูกผสมที่ไม่เคยเจอมาก่อนในโลก โดยรายแรกเป็นเชื้อเอชไอวีผสมระหว่าง 3 สายพันธุ์ ได้แก่ เอ จี และดี เรียกว่า เอจี-ดี(AG/D) ส่วนรายที่สองเป็นเชื้อเอชไอวีผสม 3 สายพันธุ์ ได้แก่ เอ อี และจี เรียกว่า เออี-จี(AE/G) นั้นว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบว่ามีผู้ติดเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ผสมนี้มากน้อยเพียงใด แต่เมื่อมีการตรวจพบก็ต้องมีการเฝ้าระวังเข้มข้นขึ้น รวมทั้งไม่สามารถสอบสวนโรคได้ว่ามีเส้นทางการติดเชื้อได้อย่างไร เนื่องจากงานวิจัยดังกล่าวเป็นการตรวจสอบเชื้อจากเลือดของผู้ป่วยโดยไม่ได้ระบุว่าเป็นเลือดของบุคคลใด แต่คาดว่าผู้ติดเชื้ออาจมีแฟนหรือเคยเดินทางไปในประเทศแถบทวีปแอฟริกา
“ที่ผ่านมามีการศึกษาการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ของเชื้อไวรัสเอชไอวี เพื่อให้ทราบว่าในแต่ละปีเชื้อมีการเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใด โดยทั่วโลกมีไวรัสเอชไอวีกว่า 20 สายพันธุ์ ซึ่งในปัจจุบันยังไม่พบสายพันธุ์ใหม่ หรือพันธุ์ผสมที่ส่งผลต่อการป้องกันและควบคุมโรคที่ต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการป้องกัน ดังนั้นจึงสามารถป้องกันได้ด้วยการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์” นพ.สมศักดิ์ กล่าว
นพ.สมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้การตรวจพบผู้ป่วยเอดส์สายพันธุ์ผสมในประเทศไทย ถือว่าไม่กระทบต่อระบบป้องกันและควบคุมโรคของไทย เนื่องจากจากการวิเคราะห์ของนักวิชาการพบว่า เอดส์สายพันธุ์ผสมนี้สามารถใช้ยาต้านไวรัสที่มีอยู่ คือ ยาสูตรพื้นฐานและยาสูตรดื้อยาใช้ได้ผลเช่นเดียวกับสายพันธุ์ไทย แต่แตกต่างกันที่เชื้อพันธุ์ผสมมีจำนวนเชื้อในสารคัดหลั่งมากกว่าสายพันธุ์ ส่วนจะมีปริมาณเชื้อแตกต่างกันเท่าไหร่นั้นต้องมีการศึกษาต่อไป
“การที่พบปริมาณเชื้อในสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ผสมมากกว่าในสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ไทยจะส่งผลให้การแพร่เชื้อง่ายขึ้น เพราะมีปริมาณเชื้อจำนวนมากขึ้น โอกาสติดก็มากขึ้น แต่หากประชาชนป้องกันตนเองด้วยการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ก็สามารถป้องกันการติดเชื้อเอดส์สายพันธุ์ผสมได้เช่นเดียวกับการป้องกันเอดส์สายพันธุ์อื่น”นพ.สมศักดิ์กล่าว
นพ.สมศักดิ์ กล่าวด้วยว่า จากการเก็บข้อมูลผู้ป่วยเอดส์ในประเทศไทย เพื่อศึกษาเกี่ยวกับอัตราเชื้อดื้อยา พบว่า ผู้ป่วยเอดส์ที่ติดเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ไทยดื้อยาประมาณ 10% เป็นผลมาจากการที่เชื้อมีการพัฒนาจนดื้อยาและผู้ป่วยรับประทานยาไม่ต่อเนื่อง และคาดการว่าเชื้อสายพันธุ์ผสมมีอัตราการดื้อยาที่ 10% เท่ากัน ซึ่งปัจจุบันยาต้านไวรัสที่ให้กับผู้ป่วยเอดส์ มี 2 สูตร ได้แก่ สูตรพื้นฐานและสูตรดื้อยา โดยประเทศไทยมีผู้ป่วยที่ได้รับยาต้านไวรัสประมาณ 2 แสนคน รับยาสูตรพื้นฐานประมาณ 1.5-1.6 แสนคน อีกราว 4-5 หมื่นคนรับยาสูตรดื้อยา
ด้าน พญ.พัชรา ศิริวงศ์รังสรร ผู้อำนวยการสำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ผู้ป่วยเอดส์ในประเทศไทยส่วนใหญ่จะติดเชื้อสายพันธุ์อี 80-90% ที่เหลืออีกประมาณ 10-20% ติดเชื้อสายพันธุ์บี ที่มาจากประเทศในแถบตะวันตก และจากการเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงของไวรัสเอชไอวีในประเทศไทย พบว่า ที่ผ่านมามีการตรวจพบผู้ป่วยเอดส์ที่ติดเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ลูกผสมอื่นๆเฉลี่ยประมาณ 0.5-1.8% แต่การตรวจพบสายพันธุ์ผสม 3 สายพันธุ์ที่คาดว่าเป็นสายพันธุ์แอฟริกาถือว่าพบเป็นครั้งแรก ซึ่งการติดตามความเปลี่ยนแปลงของเชื้อไวรัสจะทำให้ทราบถึงธรรมชาติของการระบาดวิทยาของแต่ละสายพันธุ์ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร มีแนวโน้มความรุนแรงมากน้อยแค่ไหนและมีอัตราการดื้อยาเป็นเช่นไร
“ในการตรวจผู้ป่วยจะดำเนินการเพียงแค่ตรวจหาปริมาณระดับเม็ดเลือดขาวในกระแสเลือด หรือซีดีโฟร์ และดูอาการของผู้ป่วยว่าจำเป็นต้องให้ยาต้านไวรัสหรือไม่ หากแพทย์เห็นว่าต้องให้ยาก็จะให้ทันทีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยไม่ได้แยกว่าผู้ป่วยติดเชื้อเอดส์สายพันธุ์ไหน ขณะนี้จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสำรวจจำนวนผู้ป่วยเอดส์ที่ติดเชื้อไวรัส 3 สายพันธุ์ เพราะยังมีปริมาณน้อยมาก แต่จะต้องเฝ้าระวังว่าผู้ป่วยที่ได้รับยามีการตอบสนองดีหรือไม่ และเชื้อสายพันธุ์นี้และสายพันธุ์อื่นๆ ดื้อยาที่มีอยู่หรือไม่ แต่หากในอนาคตพบผู้ป่วยสายพันธุ์นี้จำนวนมากขึ้นก็อาจจะมีอัตราดื้อยาที่สูงขึ้น จึงค่อยพิจารณาเปลี่ยนสูตรยาให้ใช้ได้ผลกับแต่ละสายพันธุ์ แต่ขณะนี้ยายังใช้ได้ผลกับสายพันธุ์ผสม” พญ.พัชรากล่าว