กทม.เตรียมยกเลิกโครงการที่เป็นอุปสรรค ปรับลดโบนัส-ค่าตอบแทนข้าราชการ หลังรายได้หดหายหลายพันล้านบาท ชี้อาจส่งผลต่อสภาพคล่องกระเป๋าเงิน กทม.
นายธราดล เปี่ยมพงศ์สานต์ โฆษกกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะผู้บริหาร กทม.เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเงินการคลังของ กทม.ปีงบประมาณ 2552 และ ปี 2553 ว่า สำนักการคลัง กทม. ได้รายงานสถานการณ์การเงินการคลังของ กทม.ซึ่งจากการเปรียบเทียบรายรับเป็นไตรมาส ปีงบประมาณ 2551-2552 พบว่า รายรับที่รัฐจัดเก็บให้ 7 ประเภท ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีรถยนต์ ภาษีสุรา ภาษีสรรพสามิต ภาษีการพนัน ค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และภาษีธุรกิจเฉพาะ ปีงบประมาณ 2552 เดือน ตุลาคม 2551 - พฤษภาคม 2552 รวม 8 เดือน ปรากฏว่ารายรับลดลงในช่วงเวลาเดียวกันของปีงบประมาณ 2551 คิดเป็นร้อยละ 24 หรือเกือบ 5,000 ล้านบาท และคาดว่าเมื่อถึงสิ้นเดือนกันยายน 2552 รายรับจะลดลงกว่าในช่วงเวลาเดียวกันคิดเป็นร้อยละ 26 จากเดิม 33,489 ล้านบาทเหลือเพียง 24,560 ล้านบาท
ส่วนรายรับที่ กทม.จัดเก็บเองปีงบประมาณ 2552 ได้แก่ ภาษีโรงเรือนและที่ดิน ภาษีป้าย ภาษีบำรุงท้องที่ อากรฆ่าสัตว์ ค่าธรรมเนียมและรายได้อื่นๆ ซึ่งประมาณการปี 2552 ตั้งเป้า 11,350 ล้านบาท ยอดจัดเก็บปี 2552 เดือน ตุลาคม 2551 - พฤษภาคม 2552 จัดเก็บได้ 8,754.72 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 77.13 ซึ่งยอดที่คาดว่าจะจัดเก็บได้ทั้งปี เป็นมูลค่า 11,400 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 100.44 ภาพรวมสูงกว่าประมาณเล็กน้อย เพียง 50 ล้านบาท
สำหรับประมาณการรายรับปีงบประมาณ 2552 ทั้งในส่วนที่เป็นรายรับที่ กทม.จัดเก็บเอง และรายรับที่รัฐ จัดเก็บให้ รวม 46,000 ล้านบาท ซึ่งตั้งแต่เดือนตุลาคม 2551- พฤษภาคม 2552 รวม 8 เดือนจัดเก็บได้คิดเป็นร้อยละ 52.63 ช่วงเวลาอีก 4 เดือนคาดว่าจะจัดเก็บรายรับได้ต่ำกว่าประมาณการ 10,040 ล้านบาท อย่างไรก็ตามจะเร่งจัดเก็บให้ได้ตามเป้าที่กำหนด ส่วนประมาณการรายรับปี 2553-2554 ซึ่งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตั้งไว้ 39,000 ล้านบาท และ ปี 2555 จำนวน 40,000 ล้านบาท รายรับที่ กทม.จัดเก็บเอง และรัฐจัดเก็บให้ อาจจะลดลง 6,000-7,000 ล้านบาท
นายธราดลกล่าวอีกว่า ดังนั้น ผลที่เกิดขึ้นทำให้ กทม.ต้องปรับลดงบประมาณรายจ่ายลง ซึ่งจะกระทบต่อเงินสะสมอาจจะทำให้ขาดสภาพคล่องได้ และรายได้จากดอกเบี้ยเงินฝากลดลง กระทบต่อค่าใช้จ่ายการบริหารงานบุคคลที่กำหนดไว้มิให้เกิน 40% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีซึ่งแนวทางแก้ไขปัญหา คือ ยกเลิกหรือชะลอโครงการที่มีอุปสรรคไม่อาจดำเนินการต่อไปได้ โครงการกันเงินเบิกเหลื่อมปีที่ยังไม่ก่อหนี้ผูกพัน ไม่อนุมัติโครงการขยายเบิกเงินเหลื่อมปีเกิน 2 ปี หรือ 1 ปี อย่างเด็ดขาด ปรับลดค่าใช้จ่ายในหมวดค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ อย่างน้อย 10% ปรับลดค่าใช้จ่ายการบริหารงานบุคคล ในปีงบประมาณ 2553 ไม่ให้เกิน 40% ซึ่งยอดเงินเป็นอย่างน้อยที่ต้องปรับลดลง 2,864.42 ล้านบาท เช่น โบนัส ค่าครองชีพ ค่าตอบแทน ค่าล่วงเวลา และควรอนุมัติยืมเงินสะสมเฉพาะโครงการ เช่น โครงการที่ก่อหนี้ผูกพันแล้ว หรือหนี้ถึงกำหนดต้องจ่าย ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต้องจ่าย เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง ค่ารักษาพยาบาล เป็นโครงการเร่งด่วน ตามนโยบายผู้บริหารฯ
นายธราดลกล่าวต่อว่า มาตรการเพิ่มยอดรายรับที่ขาดหายไปที่ กทม.จะดำเนินการคือเร่งรัดการจัดเก็บภาษีในส่วนที่ กทม.จัดเก็บเองให้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 5% หรือ 400 ล้านบาท เร่งรัดให้มีการจัดเก็บภาษีน้ำมัน และภาษีบุหรี่ ภาษีค่าเข้าพักในโรงแรมซึ่งขณะนี้กำลังร่างข้อบัญญัติอยู่ นำที่ดินของ กทม.ไปบริหารจัดการอย่างเหมาะสมเพื่อให้เป็นรายได้เพิ่มขึ้นแก่ กทม. ตลอดจนออกพันธบัตร สลากการกุศลพิเศษ หรือเงินกู้เพื่อเป็นรายได้ กทม. แต่ทั้งนี้การออกพันธบัตรต้องให้เสร็จภายในปี 2553
นายธราดล เปี่ยมพงศ์สานต์ โฆษกกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะผู้บริหาร กทม.เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเงินการคลังของ กทม.ปีงบประมาณ 2552 และ ปี 2553 ว่า สำนักการคลัง กทม. ได้รายงานสถานการณ์การเงินการคลังของ กทม.ซึ่งจากการเปรียบเทียบรายรับเป็นไตรมาส ปีงบประมาณ 2551-2552 พบว่า รายรับที่รัฐจัดเก็บให้ 7 ประเภท ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีรถยนต์ ภาษีสุรา ภาษีสรรพสามิต ภาษีการพนัน ค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และภาษีธุรกิจเฉพาะ ปีงบประมาณ 2552 เดือน ตุลาคม 2551 - พฤษภาคม 2552 รวม 8 เดือน ปรากฏว่ารายรับลดลงในช่วงเวลาเดียวกันของปีงบประมาณ 2551 คิดเป็นร้อยละ 24 หรือเกือบ 5,000 ล้านบาท และคาดว่าเมื่อถึงสิ้นเดือนกันยายน 2552 รายรับจะลดลงกว่าในช่วงเวลาเดียวกันคิดเป็นร้อยละ 26 จากเดิม 33,489 ล้านบาทเหลือเพียง 24,560 ล้านบาท
ส่วนรายรับที่ กทม.จัดเก็บเองปีงบประมาณ 2552 ได้แก่ ภาษีโรงเรือนและที่ดิน ภาษีป้าย ภาษีบำรุงท้องที่ อากรฆ่าสัตว์ ค่าธรรมเนียมและรายได้อื่นๆ ซึ่งประมาณการปี 2552 ตั้งเป้า 11,350 ล้านบาท ยอดจัดเก็บปี 2552 เดือน ตุลาคม 2551 - พฤษภาคม 2552 จัดเก็บได้ 8,754.72 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 77.13 ซึ่งยอดที่คาดว่าจะจัดเก็บได้ทั้งปี เป็นมูลค่า 11,400 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 100.44 ภาพรวมสูงกว่าประมาณเล็กน้อย เพียง 50 ล้านบาท
สำหรับประมาณการรายรับปีงบประมาณ 2552 ทั้งในส่วนที่เป็นรายรับที่ กทม.จัดเก็บเอง และรายรับที่รัฐ จัดเก็บให้ รวม 46,000 ล้านบาท ซึ่งตั้งแต่เดือนตุลาคม 2551- พฤษภาคม 2552 รวม 8 เดือนจัดเก็บได้คิดเป็นร้อยละ 52.63 ช่วงเวลาอีก 4 เดือนคาดว่าจะจัดเก็บรายรับได้ต่ำกว่าประมาณการ 10,040 ล้านบาท อย่างไรก็ตามจะเร่งจัดเก็บให้ได้ตามเป้าที่กำหนด ส่วนประมาณการรายรับปี 2553-2554 ซึ่งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตั้งไว้ 39,000 ล้านบาท และ ปี 2555 จำนวน 40,000 ล้านบาท รายรับที่ กทม.จัดเก็บเอง และรัฐจัดเก็บให้ อาจจะลดลง 6,000-7,000 ล้านบาท
นายธราดลกล่าวอีกว่า ดังนั้น ผลที่เกิดขึ้นทำให้ กทม.ต้องปรับลดงบประมาณรายจ่ายลง ซึ่งจะกระทบต่อเงินสะสมอาจจะทำให้ขาดสภาพคล่องได้ และรายได้จากดอกเบี้ยเงินฝากลดลง กระทบต่อค่าใช้จ่ายการบริหารงานบุคคลที่กำหนดไว้มิให้เกิน 40% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีซึ่งแนวทางแก้ไขปัญหา คือ ยกเลิกหรือชะลอโครงการที่มีอุปสรรคไม่อาจดำเนินการต่อไปได้ โครงการกันเงินเบิกเหลื่อมปีที่ยังไม่ก่อหนี้ผูกพัน ไม่อนุมัติโครงการขยายเบิกเงินเหลื่อมปีเกิน 2 ปี หรือ 1 ปี อย่างเด็ดขาด ปรับลดค่าใช้จ่ายในหมวดค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ อย่างน้อย 10% ปรับลดค่าใช้จ่ายการบริหารงานบุคคล ในปีงบประมาณ 2553 ไม่ให้เกิน 40% ซึ่งยอดเงินเป็นอย่างน้อยที่ต้องปรับลดลง 2,864.42 ล้านบาท เช่น โบนัส ค่าครองชีพ ค่าตอบแทน ค่าล่วงเวลา และควรอนุมัติยืมเงินสะสมเฉพาะโครงการ เช่น โครงการที่ก่อหนี้ผูกพันแล้ว หรือหนี้ถึงกำหนดต้องจ่าย ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต้องจ่าย เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง ค่ารักษาพยาบาล เป็นโครงการเร่งด่วน ตามนโยบายผู้บริหารฯ
นายธราดลกล่าวต่อว่า มาตรการเพิ่มยอดรายรับที่ขาดหายไปที่ กทม.จะดำเนินการคือเร่งรัดการจัดเก็บภาษีในส่วนที่ กทม.จัดเก็บเองให้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 5% หรือ 400 ล้านบาท เร่งรัดให้มีการจัดเก็บภาษีน้ำมัน และภาษีบุหรี่ ภาษีค่าเข้าพักในโรงแรมซึ่งขณะนี้กำลังร่างข้อบัญญัติอยู่ นำที่ดินของ กทม.ไปบริหารจัดการอย่างเหมาะสมเพื่อให้เป็นรายได้เพิ่มขึ้นแก่ กทม. ตลอดจนออกพันธบัตร สลากการกุศลพิเศษ หรือเงินกู้เพื่อเป็นรายได้ กทม. แต่ทั้งนี้การออกพันธบัตรต้องให้เสร็จภายในปี 2553