xs
xsm
sm
md
lg

4 องค์กรผนึกยกเครื่องครั้งใหญ่บริการปฐมภูมิตั้ง “สำนักงานวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

4 องค์กรผนึกยกเครื่องครั้งใหญ่บริการปฐมภูมิ เปลี่ยนสถานีอนามัย/ศูนย์แพทย์ชุมชนให้เป็นโรงพยาบาลสร้างเสริมสุขภาพตำบล ตั้ง “สำนักงานวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน” แห่งแรกในมหาวิทยาลัยมหิดล หวังยกระดับการบริการสุขภาพให้คนไทยทั่วประเทศ เน้นอยู่บ้านก็มีคนมาดูแลตั้งเป้าปีแรก 1,000 ฝันเพิ่มอีก 9,000 แห่งในปี 2553-2556

วันที่ 5 มิถุนายน ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา นพ.อำนวย กาจีนะ ที่ปรึกษาระดับกระทรวงด้านเวชกรรมป้องกัน กระทรวงสาธารณสุข ศ.คลินิก นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และนพ.พงษ์พิสุทธิ์ จงอุดมสุข ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ร่วมลงนามในการจัดตั้ง “สำนักงานวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน” ขึ้น เพื่อเป็นกลไกในการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ และสนับสนุนการดำเนินงานตามนโยบายโรงพยาบาลสร้างเสริมสุขภาพประจำตำบล (รสต.) เพื่อยกระดับบริการสุขภาพของคนไทย

นพ.อำนวย กล่าวว่า โรงพยาบาลสร้างเสริมสุขภาพตำบล (รสต.) เป็นการยกระดับศักยภาพของสถานีอนามัย/ศูนย์สุขภาพชุมชน ซึ่งเป็นหน่วยบริการสาธารณสุขปฐมภูมิในระดับตำบล โดยมุ่งให้มีการทำงานเชิงรุก มีบริการที่ต่อเนื่อง มีความเชื่อมโยงอย่างมีส่วนร่วมของชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และส่งเสริมการใช้บ้านเป็นเรือนผู้ป่วย (home ward) ทั้งนี้ รสต.จะแบ่งเป็น 3 ระดับตามขนาดประชากรที่ดูแล คือ 1) รสต.ขนาดเล็ก รับผิดชอบประชากรไม่เกิน 3,000 คน มีบุคลากร 5-6 คน 2) รสต.ขนาดกลาง รับผิดชอบประชากร 3,000-6,000 คน มีบุคลากร 6-8 คน 3) รสต. ขนาดใหญ่ รับผิดชอบประชากร 6,000 คนขึ้นไป มีบุคลากร 8-10 คน โดยตั้งเป้าหมายปี 52 ไว้ที่ 1,000 แห่ง และจะเพิ่มเป็น 9,000 แห่งในปี 2553-2556

ทั้งนี้ จะมีการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและระบบบริการ ได้แก่ ปรับปรุงโครงสร้างทางกายภาพ และสภาพแวดล้อม โดยดำเนินการให้สอดคล้องกับบริบททางวัฒนธรรมชุมชนหรือวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยกระทรวงสาธารณสุข พร้อมสนับสนุนด้านวิชาการ การจัดการ และทรัพยากรบุคคล ได้แก่ ทีมนักวิชาการปฏิบัติงานวิชาการเต็มเวลาและบางเวลา สนับสนุนการประสานงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนการวิจัย และการพัฒนาในด้านสุขภาพชุมชน

นพ.อำนวย กล่าวต่อว่า จากการสำรวจของกระทรวงสาธารณสุขในปี พ.ศ.2549 พบว่า สถานีอนามัย/ศูนย์สุขภาพชุมชน ซึ่งเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิระดับตำบล จำนวน 9,810 แห่ง มีบุคลากรเฉลี่ยแห่งละ 2.9 คน ในจำนวนนี้เพียงหนึ่งในสามหรือ 2,968 แห่ง ที่มีพยาบาลวิชาชีพประจำ ขณะที่สถานีอนามัยจำนวนมากต้องดูแลประชากรมากกว่า 5 พันคน และประมาณร้อยละ 17 ต้องดูแลประชากรกว่าหมื่นคน ในขณะที่ระบบยังผลิตกำลังคนได้ไม่เพียงพอและมีปัญหาในการจ้างงาน ปัญหาและข้อจำกัดทั้งหมดนี้นำไปสู่การมีนโยบายพัฒนาและยกฐานะสถานีอนามัยขึ้นเป็น “โรงพยาบาลสร้างเสริมสุขภาพตำบล” ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาลชุดปัจจุบัน

นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า การดำเนินงานเพื่อพัฒนาระบบสุขภาพชุมชนนั้น เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก และถึงเวลาที่จะขับเคลื่อนอย่างจริงจังด้วยความร่วมมือของทุกฝ่าย มหาวิทยาลัยมหิดลในฐานะที่เป็นแหล่งผลิต “ปัญญาของแผ่นดิน” และมีปรัชญาที่ว่า “ความสำเร็จที่แท้จริงอยู่ที่การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้เพื่อประโยชน์สุขแก่มวลมนุษยชาติ” จึงพร้อมและมีความยินดีอย่างยิ่งที่จะร่วมมือเพื่อการพัฒนาโรงพยาบาลสร้างเสริมสุขภาพประจำตำบล ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนกระบวนการพัฒนาสุขภาพของประชาชน และขององค์กรชุมชน ซึ่งจะจัดให้มี “สำนักวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน” ซึ่งบริหารจัดการโดยสถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน ภายใต้ความร่วมมือกับสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้เป็นกลไกที่ต่อเนื่องในการสร้างองค์ความรู้ และวิชาการที่สนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบาย และการพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน รวมทั้งโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล อันนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ ได้อย่างทั่งถึงเป็นธรรม และประชาชนมีสุขภาพดีโดยถ้วนหน้า

ด้านนพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า สปสช.มีนโยบายที่ชัดเจนและต่อเนื่อง ในการผลักดันให้มีระบบบริการปฐมภูมิและระบบสุขภาพชุมชนที่มีคุณภาพได้มาตรฐานเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงด้วยความมั่นใจ และงบประมาณอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2549 ปีละประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ บุคลากร และระบบสนับสนุนต่างๆ เช่น โครงการ “โรงพยาบาลไร้ความแออัด” ที่เน้นให้มีการจัดบริการปฐมภูมิในเขตเมืองเพื่อพัฒนาบริการในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ โครงการศูนย์แพทย์ชุมชนเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการบริการแบบองค์รวมสามารถดูแลประชาชนได้ในทุกมิติทั้งสุขภาพกาย ใจ สังคม ผู้ป่วยไม่ต้องมากระจุกตัวใน รพ.ขนาด ใหญ่

“จากความร่วมมือนับเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญอีกก้าวหนึ่งของการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิและระบบสุขภาพชุมชนของประเทศไทย เพื่อผลลัพธ์สุดท้าย คือ ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน และสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง ยินดีและเต็มใจสนับสนุนการจัดการและทรัพยากร ในการดำเนินงานเพื่อการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิและระบบสุขภาพชุมชนที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” นพ.วินัย กล่าว

ด้าน นพ.พงษ์พิสุทธิ์ กล่าวว่า การสร้างความเข้มแข็งของระบบบริการปฐมภูมิผ่านนโยบายโรงพยาบาลสร้างเสริมสุขภาพตำบลนั้น จะเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาระบบบริการสุขภาพของประเทศไทย นับแต่เรามีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และหลักประกันสุขภาพของคนไทยที่แท้จริงจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หากไม่มีระบบบริการปฐมภูมิที่เข้มแข็งเพียงพอ การพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิให้ประสบความสำเร็จได้นั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย จำเป็นต้องอาศัยความรู้ความเชี่ยวชาญจากนักวิชาการสาขาต่างๆ เข้ามาช่วยผลักดัน พัฒนารูปแบบ รวมทั้งเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากรผู้ให้บริการ เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งที่สถาบันวิชาการอย่างมหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งได้ชื่อเป็น “มหาวิทยาลัยด้านสุขภาพ” ได้เข้ามาร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องผลักดันนโยบายนี้ให้เป็นจริง ด้วยทุนทางวิชาการที่มีในมหาวิทยาลัย การสนับสนุนด้านนโยบาย ทรัพยากร และการจัดการ จากกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ รวมทั้งจาก สวรส.เอง น่าจะทำให้เป้าหมายที่รัฐบาลได้กำหนดไว้ เป็นจริงได้ไม่ยาก

“อย่างไรก็ตาม การจะผลักดันให้เกิดการพัฒนาและยกระดับสถานีอนามัยสู่การเป็นโรงพยาบาลสร้างเสริมสุขภาพตำบล ให้ได้เป้าหมายตามเจตนารมณ์ของรัฐบาล และภายใต้การดำเนินงานอย่างครบวงจรในปี 2552-2555 คาดว่า จะต้องใช้งบประมาณถึง 30,877.5 ล้านบาท จากแหล่งการคลังสุขภาพหลายแห่ง แต่หากเทียบกับผลลัพธ์ที่คนไทยจะได้รับแล้ว ถือว่าคุ้มค่าอย่างยิ่ง เพราะคุณภาพชีวิตของคนไทยจะดีขึ้นในทุกด้าน ซึ่งรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรลงทุนและสนับสนุนอย่างจริงจัง” นพ.พงษ์พิสุทธิ์ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น