“จิตแพทย์” ชี้เลิกจับจ้องชีวิต “เคอิโงะ” กดดันกลายเป็นเรียลิตี้โชว์

“จิตแพทย์” ชี้ ชีวิต “เคอิโงะ” กลายเป็นเรียลิตีคู่กรรม 2 วอน สื่อ-สังคม เลิกจับจ้อง ไม่เช่นนั้นความจริงจะไม่ปรากฏ และอาจทำลายความฝันของเด็ก

นพ.บัณฑิต ศรไพศาล ผอ.สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต กล่าวว่า การช่วยเหลือ ด.ช.เคอิโงะ ซาโตะ นอกจากการให้ความสนับสนุนทางการศึกษา หรือการตามหาพ่อแล้ว ควรจะชื่นชมในคุณสมบัติดีๆของเด็ก และการช่วยเหลือที่แท้จริง ควรจะสืบหาความคิดความรู้สึกที่แท้จริง ความปรารถนาดี ตลอดจนข้อจำกัดของพ่อชาวญี่ปุ่น รวมถึงเจรจาตกลงกันบนพื้นฐานความจริงว่าจะสามารถรับไปดูแลได้หรือไม่ หรือโทรศัพท์คุยกันบ้าง หรือมาเยี่ยมพบกันเป็นครั้งคราว

“ขณะนี้ชีวิตของ ด.ช.เคอิโงะ กลายเป็นเหมือนคู่กรรม 2 ผมอยากเชิญชวนประชาชนและสื่อ ไม่จับจ้องจนกลายเป็นเรียลิตีโชว์ เพราะจะเกิดความกดดันกับเด็กและพ่อของเขา ผมทราบว่าทุกคนมีความหวังดี แต่ต้องปล่อยเรื่องนี้ให้เป็นไปตามธรรมชาติ ให้พวกเขาได้พูดคุยกัน บนความจริงทั้งหมด โดยไม่มีบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้อง เพราะเรียลิตีจะไม่ใช่ความจริงทั้งหมด แต่เรื่องนี้เป็นชีวิตจริงๆ จากนั้นเมื่อได้ข้อสรุปอย่างไรสื่อก็รายงานตามจริงให้สังคมรับทราบ” นพ.บัณฑิต กล่าว

นพ.บัณฑิต กล่าวอีกว่า หากมีการพบหน้ากัน หรือสนทนากันทางโทรศัพท์ต่อหน้าสาธารณะ ควรเตรียมประเด็นสนทนาของทั้งสองฝ่ายให้เป็นเรื่องของการสื่อสารความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อกัน โดยเป้าหมายสำคัญของการพูดคุย คือ การทำให้เด็กรู้สึกว่ายังมีพ่อที่รักเขา ไม่ควรกล่าวถึงประเด็นความคาดหวังใด ที่อาจเป็นควาวมขัดแย้งต่อหน้าสาธารณะ เพราะจะทำให้การสนทนาไม่สามารถลงเอยอย่างมีความสุข ซึ่งจะเป็นการทำลายความฝันที่สวยงามของเด็กชายเคอิโงะ

นพ.บัณฑิต กล่าวอีกว่า สาเหตุที่สังคมให้ความสนใจกรณีเด็กชายเคโงะกันอย่างมากเพราะ

1.เป็นความรักหญิงไทย-ชายญี่ปุ่น ความรักข้ามแดน ความรักแบบนิยายเรื่องคู่กรรม ซึ่งสะท้อนพลังความรักที่โดนใจประชาชน

2.การที่เด็กชายลูกครึ่งอายุเพียง 9 ปี ต้องตามหาพ่อตั้งแต่อายุยังน้อย และการต้องตามพ่อที่อยู่ต่างแดนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งเด็กชายเคอิโงะยังได้แสดงถึงความมุ่งมั่นอันแรงกล้าผ่านวิธีการติดตามที่น่าเห็นใจมาก คือ การเดินสอบถามนักท่องเที่ยวที่พระวิหารหลวงพ่อเพชรเป็นเวลายาวนานร่วมสองปี ทั้ง 2 เหตุผลจึงทำให้คนทั่วไปจะรู้สึกชื่นชมและเห็นใจเด็กชายเคอิโงะอย่างมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่คนไทยจะได้เห็นกรณีตัวอย่างของเด็กซึ่งมีความมุ่งมั่นในการทำอะไรบางอย่างให้สำเร็จ