กระทรวงสาธารณสุข เผยผลการตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการชาวเยอรมันที่ป่วยและนอนรักษาที่โรงพยาบาลราชวิถี ไม่ใช่เชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ อาการดีขึ้นให้กลับบ้านแล้ว และติดตามอาการต่ออีก 7 วัน เช่นเดียวกับอีก 2 คนที่เป็นผู้ป่วยเฝ้าระวัง ชี้ผลการตรวจจับอุณหภูมิตลอด 9 วัน รวม 311,729 คน ยังไม่พบรายใดติดเชื้อ โดยไทยได้ประสานส่งคำแนะนำ ยาต้านไวรัส เจลล้างมือหน้ากากอนามัยให้เจ้าหน้าที่ประจำสถานทูตไทยที่อยู่ในพื้นที่ระบาด 21 ประเทศแล้ว ขณะที่นักเรียนทุนเอเอฟเอสอีก 1 รายหมอให้กลับบ้านได้ หลังกินยาโอเซลทามิเวียแล้วไข้ลด ไทยเตรียมเสนอเพิ่มสต็อกยาสำรองประจำภูมิภาค เพื่อให้ความช่วยเหลือประเทศลุ่มน้ำโขงด้วย
วันนี้ (6 พ.ค.) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมศูนย์ปฏิบัติการเตรียมความพร้อมตอบโต้ภาวะฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข ของกระทรวงสาธารณสุขว่า เช้าวันนี้ได้ประชุมทางไกลผ่านระบบดาวเทียมร่วมกับศูนย์ควบคุมโรคติดต่อทั้ง 12 เขตทั่วประเทศ และกทม. เพื่อให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานรับทราบแนวทางการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหญ่ชนิดเอเอช 1 เอ็น 1 เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยที่ประชุมได้ติดตามสถานการณ์ของผู้ป่วยรายสงสัยจำนวน 3 ราย ได้แก่ หญิงชาวเยอรมันอายุ 50 ปีที่โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จ.นครสวรรค์ และโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ผลการตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการทั้ง 3 ราย พบว่าติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ทั่วไป ไม่ใช่ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอเอช 1 เอ็น 1 อาการวันนี้ไม่มีไข้ แพทย์อนุญาตให้กลับบ้าน และให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขติดตามอาการที่บ้านเป็นเวลา 7 วัน
นพ.สุพรรณกล่าวว่า ในวันนี้กระทรวงสาธารณสุขได้ส่งเอกสารโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอเอช 1 เอ็น 1 ทั้งภาษาไทยและอังกฤษให้ที่สนามบินนานาชาติทุกแห่ง จำนวน 2.5 ล้านฉบับ แจกแก่ผู้เดินทางเข้าประเทศพร้อมกับบัตรคำแนะนำด้านสุขภาพ และจะเร่งผลิตเพิ่ม แจกจ่ายประชาชนทั่วประเทศต่อไป ให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้ และได้ประสานสถานทูตไทยประจำพื้นที่ที่มีโรคระบาด 21 ประเทศ เพื่อจัดส่งเจลล้างมือ คำแนะนำการดูแลสุขภาพ หน้ากากอนามัย และยาต้านไวรัสโอเซลทามีเวียร์แห่งละ 100 เม็ดไปให้เพื่อเป็นสต็อค ใช้รักษาภายใต้การดูแลของแพทย์
นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขจะเร่งจัดมาตรการเฝ้าระวังคัดกรองชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศ ทางรถไฟระหว่างประเทศ ผ่านด่านภาคใต้ 3 ขบวน ได้แก่ บัตเตอร์เวิร์ท-กรุงเทพฯ กัวลาลัมเปอร์-หาดใหญ่ และสิงค์โปร์-กรุงเทพฯ เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อเข้าประเทศครบทุกช่องทาง
สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาด องค์การอนามัยโลกรายงานตั้งแต่ 24 เมษายน ถึงเช้าวันที่ 6 พฤษภาคม 2552 (ตามเวลาประเทศไทย) มีรายงานผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิด เอเอช 1 เอ็น 1 ทั้งหมด 21 พื้นที่ รวม 1,490 ราย เสียชีวิต 31 ราย ประกอบด้วย อเมริกาป่วย 403 ราย เสียชีวิต 2 ราย เม็กซิโกป่วย 822 ราย เสียชีวิต 29 ราย ที่เหลืออีก 19 พื้นที่ไม่มีรายงานเสียชีวิต ได้แก่ แคนาดา 140 ราย สเปน 57 ราย สหราชอาณาจักร 27 ราย อิสราเอล 4 ราย นิวซีแลนด์ 6 ราย ออสเตรีย 1 ราย เยอรมนี 9 ราย เนเธอร์แลนด์ 1 ราย สวิสเซอร์แลนด์ 1 ราย เดนมาร์ก 1 ราย จีน (ฮ่องกง) 1 ราย ฝรั่งเศส 2 ราย เกาหลี 2 ราย คอสตาริกา 1 ราย ไอร์แลนด์ 1 ราย อิตาลี 5 ราย โคลอมเบีย 1 ราย เอลซาวาดอร์ 2 ราย และโปรตุเกส 1 ราย
สถานการณ์ในประเทศไทย สำนักระบาดวิทยาได้รับรายงานผู้ป่วยในข่ายเฝ้าระวังโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอเอช 1 เอ็น 1 ตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน - 5 พฤษภาคม 2552 มีผู้ป่วยเข้าข่ายเฝ้าระวังสะสม 13 ราย ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการเป็นไข้หวัดใหญ่ทั่วไปทุกราย ไม่มีรายใดยืนยันติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ สำหรับผลการเฝ้าระวังผู้เดินทางเข้าประเทศที่สนามบินสุวรรณภูมิวานนี้ (5 พฤษภาคม 2552) ผ่านเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิทั้ง 6 จุด จำนวน 32,067 คน พบอุณหภูมิสูง 1 คน วัดซ้ำไม่มีไข้ ได้ให้คำแนะนำการดูแลสุขภาพตนเองเป็นระยะ 7 วัน ผลการตรวจสะสมรอบ 9 วันที่ผ่านมา มีการตรวจวัดอุณหภูมิทั้งหมด 311,729 คน ยังไม่พบผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอเอช 1 เอ็น 1
ทั้งนี้ ประชาชนที่มีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถโทรศัพท์สอบถามศูนย์ปฏิบัติการฯ กระทรวงสาธารณสุข ที่หมายเลข 0-2590-3333 และ 0-2590-1994 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเว็บไซต์ www.moph.go.th และ http://beid.ddc.moph.go.th
** หมอให้นร.เอเอฟเอส 1 รายกลับบ้าน
ทั้งนี้ นพ.สุพรรณ กล่าวด้วยว่า นักเรียนทุนเอเอฟเอส 3 ราย ที่พักรักษาตัวที่สถาบันบำราศนราดูร แพทย์ได้อนุญาตให้กลับบ้านแล้ว โดย 2 ราย กลับไปตั้งแต่เมื่อคืนนี้ (5 พ.ค.) ส่วนอีก 1 ราย ที่มีอาการไข้ แพทย์ได้ให้ยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียตามกระบวนการรักษาที่ต้องให้ยาภายใน 48 ชั่วโมง จนขณะนี้ไม่มีไข้แล้ว แพทย์จึงได้อนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้ แต่จะต้องเฝ้าระวังโรคที่บ้านต่ออีก 7 วันและจะต้องรับประทานยาโอเซลทามิเวียต่ออีก 5 วัน วันละ 2 เม็ด เพื่อไม่ให้เกิดการดื้อยา
“ขณะนี้ประเทศไทยยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มมาตรการการเฝ้าระวังที่เข้มข้นขึ้น แม้ในบางประเทศพบว่าผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ไม่ได้มีประวัติเดินทางไปประเทศเม็กซิโก จึงไม่ควรเฝ้าระวังโรคนี้ในผู้ป่วยที่เดินทางมาจากประเทศเม็กซิโกเท่านั้น เพราะปกติผู้ที่ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทยทุกคน จะต้องมีการตรวจวิเคราะห์เชื้ออยู่แล้วว่าเป็นชนิดใด หากเป็นชนิดเอ ก็จะวิเคราะห์ต่อว่าเป็นเอช1เอ็น1หรือไม่ จึงเชื่อมั่นว่าระบบการเฝ้าระวังโรคไข้หวัดใหญ่ของไทยมีคุณภาพและมาตรฐาน”นพ.สุพรรณกล่าว
นพ.สุพรรณ กล่าวต่อว่า สธ.ได้ประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อจัดส่งเจลล้างมือ หน้ากากอนามัยและยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียไปให้กับสถานทูตไทยใน 70 ประเทศ สำหรับให้เจ้าหน้าที่สถานทูตและคนไทยในแต่ละประเทศใช้ในการป้องกันและรักษาโรค ส่วนจะเป็นจำนวนเท่าไหร่อยู่ระหว่างการหารือตกลงร่วมกัน
**ไทยเตรียมเสนอเพิ่มสต็อกยาสำรองช่วยเหลือประเทศลุ่มน้ำโขง
พญ.ศิริพร กัญชนะ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนและกลุ่มบวก 3 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-8 พฤษภาคม ที่โรงแรมดุสิตธานีว่า ในการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนที่จะมีขึ้นในวันที่ 8 พ.ค. นี้ จะมีการหารือกันเกี่ยวกับการสำรองยาต้านไวรัสในกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งขณะนี้สต๊อกยากลางของอาเซียนมีอยู่ประมาณ 5.5 ล้านเม็ด โดยเก็บไว้ที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งอาจจะต้องมีการหารือถึงความจำเป็นในการเพิ่มจำนวนยาต้านไวรัสในสต๊อกยาในคลังยาระหว่างประเทศ ในส่วนของประเทศไทยนอกจากสต็อกยาที่มีอยู่ในประเทศแล้ว ขณะนี้บางส่วนไทยจำเป็นที่จะต้องให้ความช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านภายใต้เครือข่ายเฝ้าระวังโรคลุ่มแม่น้ำโขงที่มีความร่วมมือกันมาก่อนหน้านี้ด้วย
พญ.ศิริพร กล่าวอีกว่า สำหรับกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกมีวัตถุประสงค์ 3 ข้อ คือ 1.เฝ้าระวังสถานการณ์ของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในแต่ละประเทศ โดยมีการแลกเปลี่ยนข้อมูล วางแผนรับมือเตรียมความพร้อมเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย และไม่กลัวมากจนเกินเกตุ ซึ่งอาจทำให้เกิดการไม่ถูกต้องตามวิชาการ 2 ให้ความสำคัญกับการดูแลประชาชนโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 เป็นลำดับแรกของประเทศ 3.การแสดงท่าทีในการตกลงความร่วมมือกันของภูมิภาค
พญ.ศิริพร กล่าวต่อว่า การดูแลผู้ที่อยู่ในข่ายเฝ้าระวังจะต้องสังเกตอาการเป็นเวลา 7 วัน หากผลพบว่าติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 จะต้องให้ยาโอเซลทามิวียร์ทันทีเพื่อไม่ให้มีอาการรุนแรง นอกจากนี้จะต้องดูแลให้มีการล้างมือ ใส่หน้ากากอนามัยเพื่อไม่ให้เชื้อแพร่กระจายในโรงพยาบาล มีการตรวจวัดอุณหภูมิผู้ต้องสงสัยวันละ 3 เวลา ต่อเนื่องทุกวัน ส่วนการเดินทางออกนอกประเทศหรือประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกันจะต้องมีการตรวจร่างกายก่อนออกนอกพื้นที่หรือต่างประเทศ แต่ไม่ใช่ตรวจร่างกายทุกคนแต่เฉพาะพื้นที่ที่มีการระบาดเท่านั้น
“การร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมขณะนี้ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขทุกประเทศมีเบอร์โทรศัพท์ซึ่งกันและกันที่สามารถติดต่อกัน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลต่างๆ วางแผนร่วมกัน โดยไม่มีการปิดบัง ทุกประเทศต้องรู้เหมือนกันทั้งหมด สำหรับข้อตกลงการสต็อกยาโอเซลทามีเวียร์นั้น คาดว่าจะได้ข้อสรุปในการประชุม 2 วันนี้”พญ.ศิริพรกล่าว
รวมข่าวเกี่ยวเนื่องโรคหวัดเม็กซิโกในประเทศไทย