“อภิสิทธิ์” เปิดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติ ปี 52 พร้อมปล่อยเงินเบี้ยยังชีพ 500 บาท สู่ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เผยเห็นชอบขยายวงเงินกู้ยืมกองทุนผู้สูงอายุจาก 1.5 หมื่นบาท เป็น 3 หมื่นบาท ไม่มีดอกเบี้ย พร้อมสร้างความมั่นคงด้านรายได้ด้วยระบบการออมระยะยาว หนุนกองทุนสวัสดิการระดับชุมชน ผุดไอเดียให้ ศธ.เสริมหลักสูตรให้นักเรียนมีโอกาสสัมผัส ใกล้ชิดคนแก่ในชุมชน สร้างความตระหนักเรื่องการเอาใจใส่ ความกตัญญู แก่เยาวชน “อิสสระ” ย้ำไม่เกินสิ้นเดือนเม.ย.นี้เงินเข้าสู่กระเป๋าทุกคน
วันนี้ (9 เม.ย.) เมื่อเวลา 10.00 น.ที่ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จัดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติ ปี 2552 โดยนายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน พร้อมทั้งมอบเกียรติบัตรและรางวัลผู้สูงอายุแห่งชาติ ประจำปี 2552 แก่ ศาสตราจารย์ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์ นพวงศ์ ณ อยุธยา ทั้งนี้ยังมีการมอบสัญลักษณ์เบี้ยยังชีพให้แก่ตัวแทนผู้สูงอายุ 5 ภาค และมอบสัญลักษณ์เงินสนับสนุนโครงการและทุนกู้ยืมประกอบอาชีพ จากกองทุนผู้สูงอายุ
โดยนายอภิสิทธิ์กล่าวในระหว่างปาฐกถาพิเศษเรื่อง “นโยบายรัฐบาล กับการดำเนินงานด้านผู้สูงอายุ เรื่องเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และกองทุนผุ้สูงอายุ” ว่า แนวโน้มของผู้สูงอายุในอนาคตจะเพิ่มขึ้น ทั้งจากสัดส่วนความก้าวหน้าในเทคโนโลยี ระบบบริการสาธารณสุข และนโยบายที่เกี่ยวข้องกับประชากรโดยรวม ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องเตรียมการรับมือในการเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุในอนาคต ซึ่งจากการประมาณการของสำนักงานสถิติแห่งชาติจะพบด้วยว่า ในอีก 20 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว คิดเป็นร้อยละ 20 หรือ 1 ใน 5 ของประชากรทั้งประเทศ ดังนั้นรัฐบาลจึงมุ่งเน้นในนโยบายในการขยายสิทธิของผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น โดยขยายโอกาสให้ผู้สูงอายุทุกคนได้รับเบี้ยยังชีพเป็นรายเดือน ๆละ 500 บาทอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม หลังจากมีการให้จดทะเบียนแจ้งชื่อรับสิทธิมาตั้งแต่เดือนมีนาคม ซึ่งจะเริ่มจ่ายเบี้ยยังชีพให้ผู้สูงอายุได้ตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นไป
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า รัฐบาลได้เห็นชอบให้มีการขยายเพดานวงเงินกู้ยืมจากกองทุนผู้สูงอายุซึ่งจากเดิมได้รายละไม่เกิน 15,000 บาท เป็นไม่เกิน 30,000 บาท โดยไม่คิดดอกเบี้ย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำหลักเกณฑ์การพิจารณาให้กู้ยืม เพื่อให้ผู้สูงอายุนำไปเป็นทุนประกอบอาชีพ และสร้างรายได้ในระยะยาว
สำหรับนโยบายรัฐบาลระยะต่อไปนั้น จะเน้นในเรื่องของการสร้างความมั่นคงด้านรายได้แก่ผู้สูงอายุอย่างยั่งยืน ด้วยการส่งเสริมให้มีระบบการออมระยะยาวที่รัฐบาลต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการจ่ายเงินสมทบ จนถึงการสนับสนุนกองทุนสวัสดิการระดับชุมชน
นอกจากนี้ ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องบูรณาการ สร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องผู้สูงอายุในการทำงานทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะเด็ก เยาวชน ในระบบการศึกษา ซึ่งอาจมอบให้กระทรวงศึกษาธิการกำหนดหลักสูตร ในการเรียนอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ให้เด็กนักเรียนได้มีโอกาสสัมผัสกับผู้สูงอายุภายในชุมชน เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ตรงในการเอาใจใส่ ช่วยเหลือเกื้อกูลและรู้จักความกตัญญูกตเวทีแก่ผู้สูงอายุ พร้อมทั้งขอความร่วมมือให้ อสม.ภายในชุมชนเข้ามามีบทบาทในการดูแลสุขภาพให้แก่ผู้สูงอายุในแต่ละพื้นที่ด้วย
นายอิสสระ สมชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ กล่าวว่า ยอดผู้สูงอายุที่ลงทะเบียนรับเบี้ยยังชีพทั้งหมดล่าสุดอยู่ที่ 3,572,722 คน โดยขณะนี้รัฐบาลได้เตรียมเงินไว้พร้อมมอบเป็นเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่มาลงทะเบียนไว้ทุกคนแล้ว ซึ่งขึ้นอยู่กับขั้นตอนการทำงานขององค์การบริหารส่วนท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่ ตนทราบว่าในบางจุดได้มีการแจ้งให้ผู้สูงอายุไปรับเงินได้แล้ว แต่บางแห่งก็ยังไม่สามารถมอบได้ เพราะอยู่ในขั้นตอนการจัดการเอกสาร ดังนั้นจึงขอแนะนำให้ผู้สูงอายุไปรับเงินในวันที่ 30 เม.ย.นี้จะแน่นอนที่สุด ทั้งนี้สำหรับผู้สูงอายุที่พลาดการลงทะเบียนในปีนี้ และผู้ที่จะมีอายุครบ 60 ปีในปีหน้า ก็จะประกาศให้มาลงทะเบียนช่วงสิ้นปีงบประมาณนี้ โดยจะแจ้งรายละเอียดให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง
นางอนงค์ เสือมีทรัพย์ ตัวแทนจาก กทม.กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีทั้งน้ำตาว่า ตนมีลูกหลาน แต่ลูกหลานไม่ดูแล นอกจากตนเองจะพิการแล้วยังต้องดูแลหลานที่ส่งมาให้ดูแลอีก ต้องขอบคุณรัฐบาลที่ให้การช่วยเหลือ เช่นเดียวกับผู้แทนผู้สูงอายุทั้ง 4 คน