xs
xsm
sm
md
lg

เตือนภัยปิดเทอม ระวังเด็ก “จมน้ำ” แม้น้ำตื้นก็อย่าวางใจ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
 เตือนภัยช่วงปิดเทอมหน้าร้อนระวังเด็กจมน้ำ เผยแต่ละปีมีเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี เสียชีวิตเพราะจมน้ำเฉลี่ยวันละ 4 คน เหตุมักเกิดในช่วงปิดเทอม และวันหยุดช่วงเวลาบ่าย แนะผู้ปกครองดูแลเด็กใกล้ชิด โดยเฉพาะเด็กเล็กวัย 1-4 ขวบ อย่าปล่อยให้คลาดสายตาแม้เพียงชั่วขณะ เพราะแค่น้ำตื้นๆ เช่น ในกะละมัง อ่างน้ำในบ้าน ก็ทำให้เด็กตายได้

นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้เป็นช่วงปิดเทอม และสภาพอากาศร้อนอบอ้าว ปัญหาที่มักพบทุกปีในช่วงนี้ คือ เด็กจมน้ำเสียชีวิต เนื่องจากธรรมชาติของเด็กมักชอบเล่นน้ำอยู่แล้ว เมื่อสภาพอากาศร้อนอบอ้าว เด็กมักลงไปในสระน้ำและแม่น้ำ โดยที่ไม่รู้ระดับความลึกของน้ำ ทั้งนี้ จากสถิติของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า การจมน้ำเกิดขึ้นบ่อยมากในบ่อน้ำ ทะเลสาบ แม่น้ำ รวมทั้งในสระน้ำ และอ่างน้ำ นอกจากนี้ ยังพบว่าอ่างน้ำในบ้าน นับเป็นจุดเสี่ยงของการเสียชีวิตของเด็กวัยต่ำกว่า 4 ขวบ ซึ่งเด็กวัยนี้สามารถจมน้ำได้ในน้ำที่มีระดับเพียง 1-2 นิ้ว เนื่องจากส่วนใหญ่ไม่เข้าใจอันตรายที่อาจเกิดขึ้น และช่วยเหลือตนเองไม่เป็น จึงขอให้ผู้ปกครองระมัดระวังดูแลบุตรหลาน อย่าปล่อยให้ลงไปเล่นน้ำโดยลำพัง

นพ.สุพรรณ กล่าวต่อว่า การจมน้ำถือเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญที่ทำให้เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ทั่วโลก บาดเจ็บและเสียชีวิตได้มากถึงร้อยละ 57 ในประเทศไทยพบได้มากกว่าร้อยละ 30 ขณะที่สหรัฐอเมริกา พบร้อยละ 23 ออสเตรเลีย ร้อยละ 18 แต่ละปีทั่วโลกมีเด็กเสียชีวิตจากการจมน้ำประมาณ 230,000 คน มากกว่าเสียชีวิตจากสงคราม ในจำนวนนี้ 2 ใน 3 ว่ายน้ำไม่เป็น พบมากที่สุดในเด็กอายุ 1 ขวบ

จากการวิเคราะห์สถานการณ์การจมน้ำในประเทศไทย แต่ละปีมีเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จมน้ำเสียชีวิตกว่า 1,500 คน เฉลี่ยวันละ 4 คน เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว เด็กไทยอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ยังมีอัตราการเสียชีวิตจากการจมน้ำสูงกว่า 3-5 เท่า เด็กผู้ชายมีสัดส่วนการเสียชีวิตสูงกว่าเด็กผู้หญิง 2-5 เท่า โดยจมน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติ เช่น บ่อน้ำ ทะเลสาบ แม่น้ำ สระว่ายน้ำ และอ่างน้ำภายในบ้าน และเมื่อเปรียบเทียบกับการเสียชีวิตในทุกสาเหตุ พบว่าการจมน้ำเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งที่ทำให้เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีเสียชีวิต สูงกว่าโรคติดเชื้อและโรคไม่ติดเชื้อและสูงกว่าอุบัติเหตุจราจรถึง 2 เท่า มากที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รองลงมาคือ ภาคกลาง ภาคเหนือและภาคใต้ และพบว่าช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน ระหว่างเดือนมีนาคม–พฤษภาคม เป็นช่วงที่พบเด็กจมน้ำมากที่สุด เหตุมักเกิดมากที่สุดในช่วงเวลาบ่ายของวันหยุด เนื่องจากเป็นช่วงที่มีสภาพอากาศร้อนกว่าช่วงอื่นๆ

ด้านการรักษา ในปีงบประมาณ 2548 มีผู้บาดเจ็บจากการจมน้ำนอนรักษาเฉลี่ยรายละ 4 วัน ค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ย 13,000 บาทต่อคน จากการวิเคราะห์สาเหตุการจมน้ำเสียชีวิตในเด็กอายุ 1-4 ขวบ มักเกิดจากการพลั้งเผลอของผู้ปกครอง ผู้ดูแล เด็กสามารถจมน้ำได้ในที่มีระดับน้ำเพียง 1-2 นิ้ว โดยพบการจมน้ำสูงในภาชนะกักเก็บน้ำ เช่น ถังน้ำ อ่างน้ำ กะละมัง เนื่องจากเด็กไม่สามารถดูแลตนเองได้ จึงขอเตือนผู้ปกครองและผู้ดูแลเด็ก ต้องดูแลเด็กใกล้ชิด ไม่ควรคลาดสายตาแม้เพียงชั่วขณะ เช่น รับโทรศัพท์ ล้างจาน ตากผ้า หรือเผลองีบหลับ ขณะที่เด็กอายุ 5 ปีขึ้นไป มักเกิดจากรู้เท่าไม่ถึงการณ์และว่ายน้ำไม่เป็น จะพบการจมน้ำสูงในแหล่งน้ำใกล้ๆ บ้านและแหล่งน้ำธรรมชาติ เช่น ร่องน้ำ คู คลอง แม่น้ำ ทะเล เนื่องจากผู้ปกครอง ผู้ดูแล คิดว่าสิ่งแวดล้อมรอบๆบ้านหรือในละแวกบ้าน ไม่มีอันตราย จึงอนุญาตให้เด็กวิ่งเล่นนอกบ้านได้อย่างอิสระ เป็นสาเหตุทำให้เกิดการพลัดตกน้ำและการจมน้ำ ซึ่งจะเกิดขึ้นในเวลาอันสั้น ในน้ำจืดประมาณ 3-4 นาที ส่วนน้ำเค็มประมาณ 7-8 นาที

“ในการป้องกันเด็กจมน้ำ ผู้ปกครองควรปิดประตูห้องน้ำให้สนิท ไม่ควรใส่น้ำในถังน้ำแล้วตั้งทิ้งไว้ และอย่าวางของเล่นไว้บริเวณรอบสระน้ำ เนื่องจากเป็นการสนับสนุนให้เด็กเล่นในบริเวณที่เป็นอันตราย ไม่ควรปล่อยให้เด็กอยู่เพียงลำพังขณะอาบน้ำ หรือขณะที่อยู่ในแหล่งน้ำหรือใกล้แหล่งน้ำ เช่น ห้องน้ำ อ่างน้ำ ถังน้ำ ท่อระบายน้ำ และแหล่งน้ำธรรมชาติ ไม่ว่าเด็กจะมีอายุเท่าใดก็ตาม โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี ห้ามทิ้งไว้ในห้องน้ำคนเดียว หากจำเป็นต้องออกจากห้องน้ำ เช่น รับโทรศัพท์ ให้นำเด็กออกมาด้วย และไม่ควรอนุญาตให้เด็กไปว่ายน้ำในแหล่งน้ำที่ไม่คุ้นเคย” นพ.สุพรรณ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น