อย.จับตาใกล้ชิด สีผสมอาหารอันตราย ชี้โคเด็กซ์อนุญาตให้ใช้ได้แต่ต้องไม่เกินค่ามาตรฐานที่ยอมรับได้ 50 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เตือนเลือกขนมสำหรับเด็กไม่ควรมีสีสันฉูดฉาด
ภญ.วีรวรรณ แตงแก้ว รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวถึงกรณีที่ผลการวิจัยของประเทศอังกฤษพบว่า ขนมเยลลี่ที่ใส่สี “อัลลูร่า เรด(Allura red)” ซึ่งเป็นสีผสมอาหารจากการสังเคราะห์เป็นอันตรายทำให้เด็กเป็นโรคสมาธิสั้น หรือ ไฮเปอร์แอ็กทีฟ โดยองค์กร 42 แห่ง ทั่วยุโรปเรียกร้องให้กรรมาธิการยุโรปสั่งระงับการใช้สีผสมอาหาร 6 ชนิดว่า สีผสมอาหารดังกล่าวเป็นสีสังเคราะห์ที่สำนักงานมาตรฐานความปลอดภัยทางด้านอาหาร (codex) หรือโคเด็กซ์ ภายใต้องค์การอาหารและเกษตรแห่งองค์การสหประชาชาติ (FAO)อนุญาตให้ใช้ผสมอาหารได้ ซึ่งค่าระดับการยอมรับได้ต่อวัน(Acceptable Daily Intake หรือ ADI) สำหรับเยลลี่ไม่เกิน 50 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (ppm) หรือ 300 ส่วนใน 1 ล้านส่วน อย่างไรก็ตาม ในต่างประเทศนิยมใช้สารสังเคราะห์ชนิดนี้ในลูกอม เยลลี่ ช็อกโกแลต เป็นอย่างมาก ขณะที่ในประเทศไทยมีการใช้สารดังกล่าวน้อย และต้องขออนุญาตเฉพาะรายเท่านั้น
“ขณะนี้ถือว่าสีผสมอาหารดังกล่าวยังได้รับอนุญาตให้ใช้ได้ แต่ต้องไม่เกินมาตรฐานที่กำหนดเท่านั้น ซึ่ง อย.จะติดตามอย่างใกล้ชิดว่าโคเด็กซ์จะประกาศห้ามใช้สีสังเคราะห์ดังกล่าวหรือไม่ ในส่วนของประเทศไทยยังไม่เคยมีข้อมูล หรือมีการทำวิจัยยืนยันชัดเจนว่า สีผสมอาหารส่งผลให้ เด็กเป็นโรคสมาธิสั้น หุนหันพลันแล่น หรือฉุนเฉียวง่าย”ภ.ญ.วีรวรรณกล่าว
ภ.ญ.วีรวรรณกล่าวด้วยว่า จริงๆ แล้ว แม้กฎหมายจะอนุญาตให้สามารถใช้สีผสมอาหารในขนมสำหรับเด็กได้ แต่จริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องใส่สีผสมอาหารเลย ดังนั้น เวลาที่ผู้ปกครองจะเลือกซื้อขนมให้แก่บุตรหลานควรพิจารณาอย่าซื้อขนมที่มีสีสันฉูดฉาดจนเกินไป เพราะนอกจากอาจได้รับอันตรายจากสีผสมอาหารที่เกินค่ามาตรฐานแล้ว อาจเจอสีที่ไม่ใช่สีผสมอาหารยิ่งเสี่ยงเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ภญ.วีรวรรณ แตงแก้ว รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวถึงกรณีที่ผลการวิจัยของประเทศอังกฤษพบว่า ขนมเยลลี่ที่ใส่สี “อัลลูร่า เรด(Allura red)” ซึ่งเป็นสีผสมอาหารจากการสังเคราะห์เป็นอันตรายทำให้เด็กเป็นโรคสมาธิสั้น หรือ ไฮเปอร์แอ็กทีฟ โดยองค์กร 42 แห่ง ทั่วยุโรปเรียกร้องให้กรรมาธิการยุโรปสั่งระงับการใช้สีผสมอาหาร 6 ชนิดว่า สีผสมอาหารดังกล่าวเป็นสีสังเคราะห์ที่สำนักงานมาตรฐานความปลอดภัยทางด้านอาหาร (codex) หรือโคเด็กซ์ ภายใต้องค์การอาหารและเกษตรแห่งองค์การสหประชาชาติ (FAO)อนุญาตให้ใช้ผสมอาหารได้ ซึ่งค่าระดับการยอมรับได้ต่อวัน(Acceptable Daily Intake หรือ ADI) สำหรับเยลลี่ไม่เกิน 50 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (ppm) หรือ 300 ส่วนใน 1 ล้านส่วน อย่างไรก็ตาม ในต่างประเทศนิยมใช้สารสังเคราะห์ชนิดนี้ในลูกอม เยลลี่ ช็อกโกแลต เป็นอย่างมาก ขณะที่ในประเทศไทยมีการใช้สารดังกล่าวน้อย และต้องขออนุญาตเฉพาะรายเท่านั้น
“ขณะนี้ถือว่าสีผสมอาหารดังกล่าวยังได้รับอนุญาตให้ใช้ได้ แต่ต้องไม่เกินมาตรฐานที่กำหนดเท่านั้น ซึ่ง อย.จะติดตามอย่างใกล้ชิดว่าโคเด็กซ์จะประกาศห้ามใช้สีสังเคราะห์ดังกล่าวหรือไม่ ในส่วนของประเทศไทยยังไม่เคยมีข้อมูล หรือมีการทำวิจัยยืนยันชัดเจนว่า สีผสมอาหารส่งผลให้ เด็กเป็นโรคสมาธิสั้น หุนหันพลันแล่น หรือฉุนเฉียวง่าย”ภ.ญ.วีรวรรณกล่าว
ภ.ญ.วีรวรรณกล่าวด้วยว่า จริงๆ แล้ว แม้กฎหมายจะอนุญาตให้สามารถใช้สีผสมอาหารในขนมสำหรับเด็กได้ แต่จริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องใส่สีผสมอาหารเลย ดังนั้น เวลาที่ผู้ปกครองจะเลือกซื้อขนมให้แก่บุตรหลานควรพิจารณาอย่าซื้อขนมที่มีสีสันฉูดฉาดจนเกินไป เพราะนอกจากอาจได้รับอันตรายจากสีผสมอาหารที่เกินค่ามาตรฐานแล้ว อาจเจอสีที่ไม่ใช่สีผสมอาหารยิ่งเสี่ยงเป็นอันตรายต่อสุขภาพ