วธ.แจง พ.ร.บ.ภาพยนตร์ฯ ไม่ใช่เซ็นเซอร์ซ่อนรูป ชี้ที่ 7 เรตติ้งยังทำงานไม่ได้ เพราะรอประกาศกฎกระทรวง
นายสมชาย เสียงหลาย รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ในฐานะประธานยกร่างกฎกระทรวง ประกอบ พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวิดีทัศน์ พ.ศ.2551 กล่าวว่า จากการที่ตนไปออกรายการ จับเข่าคุย ร่วมกับผู้กำกับภาพยนตร์ เมื่อเร็วๆ นี้ ปรากฏว่า ในขณะนี้ ตามเว็บไซต์ต่างๆ ได้แสดงความคิดเห็นจำนวนมากเกี่ยวกับการตรวจพิจารณาภาพยนตร์และวิดีทัศน์ ว่า ไม่ควรใช้ระบบเซ็นเซอร์ จึงขอสร้างความเข้าใจต่อประชาชนเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ว่า เมื่อกฎกระทรวงเกี่ยวกับกำหนดหลักเกณฑ์ในการกำหนดประเภทภาพยนตร์ หรือเรตติ้งยังไม่ได้ประกาศใช้อย่างเป็นทางการ คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวิดีทัศน์ จึงจำเป็นต้องใช้หลักเกณฑ์การเซ็นเซอร์ไปก่อน เมื่อกฎกระทรวงประกาศใช้จริง คณะกรรมการพิจารณาฯ จึงจะมาใช้หลักเกณฑ์พิจารณาเรตติ้งแทน รวมทั้งกำลังดำเนินการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมภาพยนตร์ เพื่อสนับสนุนภาพยนตร์ไทยด้วย
นายสมชาย กล่าวต่อไปว่า ส่วนที่มีผู้กังวลว่า การจัดสร้างภาพยนตร์ในประเทศไทย จำเป็นต้องส่งบทมาให้คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวิดีทัศน์ ตรวจก่อนนั้น เรื่องนี้ไม่จำเป็น หากผู้ผลิตภาพยนตร์เห็นว่า เนื้อหาของภาพยนตร์เหมาะสมกับเรตประเภทใด ให้ดำเนินการผลิตและระบุเรตติ้งให้คณะกรรมการพิจารณาได้ทันที แต่หากไม่แน่ใจว่า เนื้อหาจะขัดต่อกฎหมายหรือไม่ ก็สามารถส่งบทมาให้คณะกรรมการพิจารณาได้ สำหรับหลักเกณฑ์การพิจารณาเรตติ้ง หากคณะกรรมการเห็นว่า เรตติ้งที่ผู้ผลิตระบุมายังไม่ตรงก็จะมีการปรับเรต หรืออาจจะมีการตัดทอน เพื่อให้ตรงกับเรต ซึ่งเมื่อภาพยนตร์ได้ถูกกำหนดเรตออกมาแล้ว ผู้ผลิตเห็นว่า ไม่เหมาะสม ก็สามารถอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจาณาฯ หรือคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ หรือสามารถร้องต่อศาลปกครองได้ อย่างไรก็ตาม ตนไม่อยากให้ทุกฝ่ายมองว่าเรตติ้งที่จะใช้ในอนาคต เป็น เซ็นเซอร์ซ่อนรูป
ด้าน ดร.อำนาจ บัวศิริ ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ในฐานะคณะกรรมการตรวจพิจารณาภาพยนตร์และวิดีทัศน์ กล่าวว่า ตนในฐานะกรรมการขอยืนยันว่า พยายามผ่านภาพยนตร์ที่ส่งเข้ามาทุกเรื่อง เพราะเข้าใจผู้ประกอบการต้องลงทุนสูง แต่หากเห็นว่าเนื้อหามีผลกระทบกับประชาชนจริงๆ เนื้อหารุนแรงมากๆ ก็จะเชิญผู้ผลิตมาหารือในการปรับปรุงแก้ไข ไม่ใช่นึกอยากจะตัดตรงไหนก็ตัดได้ทันที ซึ่งไม่ใช่หลักของคณะกรรมการ
