ถ้าหากเอ่ยชื่อ “ร้านเจ๊ดำโภชนา” แห่งปทุมธานี คลอง 10 แล้ว เชื่อเป็นอย่างยิ่ง ว่า บรรดานักชิมทั้งหลาย โดยเฉพาะผู้ชื่นชอบการรับประทานปู ปลา หอย กุ้งแล้ว ต้องรู้จักกันดี ด้วยชื่อเสียงของความอร่อยที่ติดอกติดใช้นักชิมจากทั่วทุกสารทิศ ซึ่งประจักษ์พยานที่ยืนยันได้ดี ก็คือ ภาพคนดังที่แวะเวียนกันมาลิ้มรสที่ติดเอาไว้ที่ข้างฝาร้าน
นพ.เกษม วัฒนชัย พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน ชวรัตน์ ชาญวีรกูล นพ.มงคล ณ สงขลา นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ดำรุง พุฒตาล โน้ต-อุดม แต้พานิช ก้อง-สหรัถ สังคปรีชา ดวงตา ตุงคะมณี ฯลฯ
เหล่านี้คือส่วนหนึ่งของคนดังที่เป็นลูกค้าของร้านเจ๊ดำโภชนา แต่ที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับ “อัมพร เจริญบุญนะ” หรือที่นักชิม หรือคนคลอง 10 รู้จักกันในชื่อของ “เจ๊ดำ” ผู้เป็นเจ้าของร้านมากที่สุดเห็นจะเป็นการที่ได้ทำพระกระยาหารถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในวโรกาสต่างๆ เช่น การเสด็จพระราชทานปริญญาบัตรที่ ม.เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม กว่าที่เจ๊ดำจะมาถึงวันนี้ได้นั้น ต้องฝ่าฝันอุปสรรคมากมาย
เจ๊ดำ เล่าให้ฟังว่า ชีวิตในวัยเด็กนั้นเป็นชีวิตที่ลำบากถึงขนาดที่ใช้คำว่า “แร้นแค้น” เลยก็คงจะว่าได้ เพราะครอบครัวมีฐานะยากจน และมีลูกมากถึง 10 คน (ผู้ชาย 2 คน ผู้หญิง 8 คน) ทำให้ได้เรียนหนังสือได้แค่ชั้น ป.1 เท่านั้น คือ พอเรียน ป.2 ได้เพียงไม่เท่าไหร่ก็ต้องลาออกจากโรงเรียนเพื่อมาช่วยพ่อแม่ทำนา หาบน้ำใส่ตุ่ม เลี้ยงหมู ซึ่งที่นาก็ไม่ได้เป็นของตัวเอง ต้องไปเช่าเขาทำอีกต่างหาก รวมทั้งต้องช่วยแม่เลี้ยงน้องๆ เนื่องจากเป็นลูกสาวคนโต
“พอออกจากโรงเรียนก็ไปช่วยพ่อทำนาอยู่ที่คลอง 13 ตอนเรียนหนังสือกระเป๋านักเรียน เสื้อผ้าก็ไม่มีตังค์ซื้อกับเขาหรอก เงินไปโรงเรียนก็ไม่มี กลางวันก็อาศัยไปกินข้าวบ้านเพื่อน เวลาหน้าหนาวไม่ต้องพูดถึง ต้องไปนอนในกระสอบข้าวแทน เพราะไม่มีผ้าห่ม หรือไม่ก็ไปนอนในกองฟาง ให้ฟางเป็นผ้าห่ม คันก็คัน แต่ก็ต้องทน คนข้างบ้านเขาสงสารก็ให้เสื้อผ้ามาใส่บ้าง ดีใจมาก ส่วนเรื่องเที่ยวไม่ต้องพูดถึง เพราะทำงานจนไม่มีเวลาจะไปเที่ยว ต้องทำงาน”
“เรื่องเลี้ยงหมูลำบากมาก ต้องออกไปซื้อรำข้าว ต้องออกไปหาซื้อหยวกกล้วย ปลายข้าว มาผสมกันให้หมูกิน พอหมูออกลูกทีก็ต้องไปนอนเฝ้า ไม่งั้นแม่มันนอนทับลูกตายหมด เย็นๆ เลี้ยงหมูเสร็จก็ออกไปหาปลาในคลอง ไปงมหอยขมขาย ขายหม้อละ 5 บาท เวลาฝนตกปลามันจะแถกขึ้นมา เราก็ถือตะเกียง หยิบกระป๋องออกไปจับ กินบ้าง ขายบ้าง แม้บ้านเราจะจน แต่สิ่งสำคัญที่แม่สอนเอาไว้คือเสมอ คือ ไม่ให้ไปเป็นลูกจ้างใคร ให้ทำมาหากินด้วยตัวเอง ทำกิจการของตนเอง”
ด้วยคำของแม่ที่ได้พร่ำสอนเอาไว้ เมื่อโตขื้น เจ๊ดำ จึงตัดสินใจเปิดร้านขายอาหารเล็กๆ อยู่ในย่านคลอง 10 ขายอาหารตามสั่งเล็กน้อยๆ จากนั้นเมื่ออายุประมาณ 25 ปี ก็ได้ตัดสินใจแต่งงาน
ชีวิตแม่ค้าของเจ๊ดำเป็นชีวิต “ต้องสู้” และ “เรียนรู้” เคล็ดวิชาทำอาหารจากทุกแหล่งที่สามารถทำได้ เช่น การทำทอดมันให้อร่อย เผอิญไปกินทอดมันบ้านเพื่อนแล้วมีรสชาติอร่อย จึงไปขอเคล็ดลับในการทำ รวมทั้งได้ฝึกฝนประสบการณ์จากการที่แม่ใช้ทำกับข้าว ลองผิดลองถูกด้วยตนเอง เป็นต้น แต่ชีวิตก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาดฝันไว้ เนื่องด้วยไม่มีทุน ทำให้ต้องไปหยิบยืมเงินทองมาใช้เพื่อซื้อเป็นวัตถุดิบในการทำอาหาร ขณะเดียวกัน ด้วยความที่ต้องการให้พ่อมีบ้าน จึงตัดสินใจซื้อบ้านให้พ่อ ส่งผลทำให้มีภาระหนี้สินพะรุงพะรัง
“ตอนนั้นไม่มีใครเรียกว่าเจ๊ดำหรอก เขาเรียกอีแดง เพราะมีหนี้ตัวแดงอยู่เต็มบัญชีธนาคารหมด เวลาคนมาซื้อเหล้าที่ร้าน ก็ต้องวิ่งไปซื้อจากร้านชำทีละ 2 ขวด เพราะเราไม่มีเงินที่จะซื้อยกลังมาเก็บไว้ที่ร้าน แต่ถึงมีหนี้เยอะ ก็ไม่ท้อ และทำงานใช้หนี้ไปเรื่อยๆ ไม่มีหนีเด็ดขาด และที่สำคัญ คือ ไม่เคยลืมบุญคุณของคนที่เคยช่วยเหลือ”
และแล้ววันหนึ่งฝีมือการทำอาหารของเจ๊ดำก็เริ่มเป็นที่รู้จักของคนกินมากขึ้น และเมื่อความอร่อยไปถึงหูสื่อก็ได้เข้ามาสัมภาษณ์ไปลง ซึ่งก็ทำให้มีลูกค้าเข้ามาที่ร้านมากขึ้นเป็นลำดับ กระทั่งกลายเป็นอีกหนึ่งร้านอาหารที่นักชิมต้องแวะเวียนมาในปัจจุบัน
สำหรับเมนูขึ้นชื่อของร้านเจ๊ดำโภชนาส่วนใหญ่เป็นอาหารที่เกี่ยวข้องกับกุ้ง หอย ปู ปลา เช่น กุ้งแม่น้ำย่าง กุ้งแม่น้ำผัดสะตอ แกงส้มปูไข่ผักกาดดอง ผัดฉ่าแก้มปลาคัง ปูผัดผงกะหรี่ ปลาเนื้ออ่อนราดกระเทียม ลูกชิ้นปลากรายผัดเขียวหวาน เป็นต้น
ทุกวันนี้ เจ๊ดำ ในวัย 60 ปีก็ยังทำงานอยู่ โดยยึดคติที่ว่า “เป็นคนต้องทำงาน และถ้าร่างกายยังไหว ก็ต้องทำไปเรื่อยๆ” ส่วนเงินทองที่ได้มาจากการทำงาน เนื่องจากไม่มีลูก ก็ใช้ไปกับการทำบุญสุนทาน อุดหนุนจุนเจือญาติพี่น้องบ้าง
“สิ่งที่สำคัญในการทำอาหาร ก็คือ ต้องทำให้สะอาด ถ้าทำไม่สะอาดมันเป็นบาป เพราะคนกินเขาไม่มีทางรู้ว่าเราใส่อะไรลงไปบ้าง วัตถุดิบของเรามีคุณภาพหรือไม่”
เจ๊ดำฝากคำพูดให้แง่คิดที้งท้ายเอาไว้ด้วยว่า “อยากให้พ่อแม่สอนลูกให้รู้จักทำงาน ให้รู้จักความลำบากก่อน เพื่อลูกจะได้มีความเข้มแข็ง อดทนและไม่ย่อท้อต่อปัญหาที่เข้ามาในชีวิต”