สภาพอากาศของโลกวันนี้ มีแต่จะทำให้จำนวนผู้ป่วยโรคภูมิแพ้มากขึ้น ซึ่งโรคภูมิแพ้นั้น ถือเป็นโรคเรื้อรังที่สามารถเกิดได้กับทุกระบบของร่างกาย บางคนอาจเริ่มจากอาการแพ้อากาศเรื้อรัง เยื่อจมูกอักเสบ เมื่อไม่ใส่ใจรักษาก็กลายเป็นโรคหอบหืด ที่หนักไปกว่านั้นบางคน เชื่อว่า ถ้าเด็กเป็นหอบหืดแล้วเมื่อโตขึ้นอาการเหล่านั้นจะหายไปได้เอง ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดอย่างร้ายแรง เพราะการไม่ใส่ใจบำบัดอย่างจริงจังแล้วหอบหืดอาจส่งผลต่อการเจริญเติบโต การปรับตัว และอาการเรื้อรังจะส่งผลต่อการดำรงชีวิตในสังคมหรือกระทั่งความรุนแรงของโรคอาจมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นได้
** รู้จักแพทย์ทางเลือกซ่อมพลังชีวิต
นพ.สมนึก ศิริพานทอง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการฝังเข็ม และ การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic Medicine) อธิบายว่า สาเหตุที่เป็นภูมิแพ้แล้วรักษาไม่หายเสียที ทั้งที่ให้ยาไม่ว่าฉีด กิน พ่น หรือแม้แต่หนักสุด คือ ผ่าตัดแล้วก็ตามที เหล่านี้ล้วนกล่าวได้ว่าเป็นการรักษาโรคตามอาการในหลักของการแพทย์แผนปัจจุบัน กระนั้นผลจากการกินยาปฏิชีวนะยังส่งผลข้างเคียงให้หลายคน ไม่ว่าจะแพ้ตัวยา หรือมีอาการอื่นๆ ตามมาอีกไม่ถ้วน
แต่มีศาสตร์ในแพทย์ทางเลือกหนึ่งที่ได้รับการการันตีแล้วว่าสามารถบำบัดรักษาอาการภูมิแพ้ได้ผลดีและไม่มีผลข้างเคียง นั่นคือ การรักษาด้วย
“Homeopathy” (โฮมีโอพาธี) ซึ่งเป็นแนวทางการรักษาแบบพื้นบ้านของประเทศแถบยุโรปในประเทศเยอรมนี มีอายุยาวนานกว่า 200 ปี แต่เพิ่งจะได้รับการยอมรับจากกระทรวงสาธารณสุขของบ้านเราเมื่อไม่นานมานี้ โดยในหลักคิดในแนวทางนี้จะมีพื้นฐานความเชื่อสอดคล้องกับความเป็นตะวันออกของเอเชีย ซึ่งเชื่อเรื่องพลังชีวิต และธาตุทั้ง 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ การปรับสภาพร่างกาย โดยอาศัยความสมดุลของร่างกาย
“โฮมีโอพาธีเป็นแนวทางการรักษาภูมิแพ้และโรคเรื้อรังที่ใช้พลังของสมุนไพรเข้าไปเพิ่มพลังชีวิต คือ ปรับธาตุให้อยู่ในสถานะสมดุล เราเชื่อว่าคนเกิดมาโดยธรรมชาติก็ต้องโตด้วยธรรมชาติแท้ แต่ทุกวันนี้การที่เด็กป่วยเป็นภูมิแพ้ และคนทั่วไปเป็นกันมากขึ้นเพราะเขามักอยู่กับธรรมชาติเทียม ไม่มีโอกาสเจอแดด เจอลม ไม่ได้เหยียบดิน หรืออาบน้ำในอุณหภูมิของธรรมชาติ เลยทำให้พลังชีวิตไม่สมบูรณ์ยิ่งหากป่วยแล้วเจอยาปฏิชีวนะก็จะยิ่งเพิ่มรอยบุ๋มให้พลังชีวิต หากเป็นนานๆ ก็มีโอกาสถ่ายทอดให้รุ่นต่อไปได้”นพ.สมนึก ให้ข้อมูล
** เทรนด์ฮิตการบำบัด “ภูมิแพ้”
พญ.อรรวรรณ กิจเชวงกุล อีกหนึ่งผู้รู้เกี่ยวกับโฮมีโอพาธีให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีประเทศต่างๆ ที่ใช้แนวทางการรักษาแบบโฮมีโอพาธีเป็นจำนวนมาก และได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ยกตัวอย่างเช่น ในเยอรมนีประเทศต้นตำรับมีการรักษาโฮมีโอพาธีอย่างแพร่หลายจนแพทย์ 20% สามารถเบิกค่าประกันตนได้ ฝรั่งเศส 40% อังกฤษ 30% สหรัฐอเมริกา 42% โดยประเทศไทยเริ่มมีการรักษาในปี 2546 ซึ่งแพร่หลายในศาสตร์ความงามมาก่อนจนได้รับการยอมรับในการรักษาโรคอื่นๆ
“ในแนวทางการรักษาแผนปัจจุบันที่ไทยใช้อยู่มีต้นแบบมาจากสหรัฐอเมริกา แต่สำหรับโฮมีโอพาธีที่เราใช้จะเป็นแบบคลาสสิกคัลคือตามแนวทางของเยอรมนี เป็นการคัดเลือกพืช สมุนไพร แร่ธาตุ หรือสารสกัดจากสัตว์ที่มีสารชนิดเดียวกับเชื้อที่ผู้ป่วยมีอาการ เปรียบเหมือนหนามยอกเอาหนามบ่ง”
พญ.อรวรรณ อธิบายต่อว่า แพทย์ผู้ทำการรักษาจะทำการซักประวัติและอาการไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมงโดยทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งถึงอารมณ์และอุปนิสัยของผู้ป่วย และจะจ่ายยาที่สามารถละลายในน้ำได้โดยอาศัยพลังงานกระแทกในแนวตั้ง เพื่อที่จะให้น้ำและสมุนไพรนั้นมีฤทธิ์ในการบำบัด ซึ่งในแนวทางของโฮมีโอพาธีนั้นจะใช้สมุนไพรที่ให้อาการเดียวกันกับโรค กล่าวคือ เปรียบกับให้สารภูมิแพ้เข้าไปทำปฏิกิริยากับอาการแพ้ เช่น เป็นหวัดน้ำมูกและน้ำตาไหล สมุนไพรที่มีฤทธิ์นี้คือหัวหอม
“โฮมีโอพาธี เป็นการมองร่างกาย และจิตใจผู้ป่วยเป็นภาพรวมเดียวกัน แตกต่างจากแพทย์แผนปัจจุบันที่รักษาโรคตามอาการ ดังนั้นก่อนจะบำบัดผู้ป่วย จะต้องมีการสัมภาษณ์ พูดคุยในเรื่องทั่วไป เช่น บุคลิกภาพ ประวัติทางการแพทย์ของครอบครัว อารมณ์ ความรู้สึก เป็นต้น จากนั้นถึงประมวลออกมาเป็นภาพอาการรวม และทำการบำบัดรักษาต่อไป”
“โฮมีโอพาธีปัจจุบันมากกว่า 3,000 ตำรับ กล่าวคือจะให้ตามอาการของแต่ละบุคคลร่วมกับบุคลิกภายนอกซึ่งบางคนอาจจะคิดว่าไม่ใช่สาระสำคัญ ในคนที่มีอาการเฉียบพลันใช้เวลารักษาภายใน 24 ชั่วโมงจะดีขึ้น แต่สำหรับคนที่มีอาการเรื้อรัง ต้องใช้เวลาอาจจะเริ่มตั้งแต่ 3-4 วัน 3 สัปดาห์ หรือ 1 เดือนตามการพิจารณาของแพทย์และอาการของผู้ป่วย”พญ.อรวรรณ ระบุ
ทั้งนี้ พญ.อรวรรณ อธิบายขั้นตอนการบำบัดว่าจะเกิดขึ้นในทางตรงข้ามกับอาการป่วย เช่น ไซนัสอักเสบ อาการเริ่มจากคัดจมูก มีผื่นคัน น้ำมูกไหล ปวดจมูก ปวดศีรษะ อารมณ์แปรปรวนหงุดหงิดง่าย เมื่อรักษาด้วยโฮมีโอพาธีสิ่งแรกที่ปรากฏคืออารมณ์จะดีขึ้น อาการปวดศีรษะหายไป จากนั้นจะไม่ปวดจมูก น้ำมูกลดลง และไม่คัดจมูกในที่สุด สิ่งนี้เป็นข้อแตกต่างของการรักษาแบบใหม่
อย่างไรก็ตาม นอกจากป้องกันอาการแทรกซ้อนที่จะเกิดจากเคมีบำบัดในผู้ป่วยมะเร็งแล้ว โฮมีโอพาธียังใช้รักษาโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร อาหารไม่ย่อย ท้องอืด ท้องผูก โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ไอเรื้อรัง หอบหืด โรคไขข้ออักเสบ แผลผิวหนังรวมทั้งสิว ภูมิแพ้ที่มีอาการทางตาและจมูก ไมเกรน ความดันเลือดสูง บำบัดอาการของโรคหัวใจ อ่อนเพลียเรื้อรัง ไทรอยด์เป็นพิษ โรคอ้วน นอนไม่หลับ โรคซึมเศร้า และปัญหาจิตใจ เด็กซนเกินกว่าเหตุหรืออยู่ไม่สุข โรคเฉียบพลันทั้งหลาย เช่น ไข้สูง อาการปวดได้อีกด้วย
ขณะที่ นพ.สมนึก ได้ให้ภาพถึงแนวทางการรักษาแบบโฮมีโอพาธีในประเทศไทยว่า แม้ศาสตร์การศึกษานี้กระทรวงสาธารณสุขบ้าน เราเพิ่งจะให้การต้อนรับ ปัจจุบันจึงยังไม่มีในโรงพยาบาลทั่วไป แต่ในอนาคตแบบแผนแพทย์พื้นบ้านของยุโรปจะกลายเป็นหนึ่งในแขนงแพทย์ทางเลือกในโรงพยาบาลไทยเช่นเดียวกับแพทย์แผนไทย และการแพทย์จีนแน่นอน ซึ่งขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขร่วมมือกับมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีจัดอบรมแพทย์เพื่อให้เข้าใจศาสตร์นี้มากขึ้น และคาดว่าในเวลาอันใกล้นี้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) จะบรรจุการรักษาแนวใหม่นี้เข้าในระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าในโรงพยาบาลของรัฐเพื่อลดค่าใช้จ่ายของประชาชนด้วย
** แต่อะไรที่ “โฮมีโอพาธี” ทำไม่ได้
พญ.อรวรรณ บอกว่า การรักษาในแนวทางแบบผสมผสานนี้ไม่ใช่ว่ามีแต่ข้อดี แม้จะไม่มีผลข้างเคียงเฉกเช่นยาปฏิชีวนะแต่มี 3 โรคที่อยู่ในข้อยกเว้นของโฮมีโอพาธีคือ หูดที่ฝ่าเท้า ข้อเสื่อม และการใช้ยาเพื่อป้องกันอาการ เนื่องจากยาสมุนไพรหรือสารสกัดในการรักษาแบบโฮมีโอพาธีนั้นต้องใช้เมื่อมีอาการเท่านั้น
เหตุผลที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะสมุนไพร หรือสารสกัดที่นำมาใช้ในแนวทางการรักษานี้นั้นมีฤทธิ์เดียวกับเชื้อโรค ดังนั้นหากคนที่ยังไม่ป่วยมากินป้องกันก็จะทำให้ป่วยได้ ส่วนคนป่วยที่กินอยู่แม้จะไม่มีอาการแล้วอยากจะกินกันไว้เผื่อไม่ให้มีอาการ แพทย์จะอนุญาตให้กินต่อได้อีก 3 วันและการให้ยาจะลดเวลาลงเรื่อยๆ
นอกจากนี้ ยังมีข้อควรระวังอีกประการหนึ่งด้วยคือ แม้ผู้ที่ป่วยเป็นภูมิแพ้เหมือนกันอยู่ในครอบครัวเดียวกันก็ใช่ว่าจะใช้ยาตัวเดียวกันแล้วอาการจะหายเพราะยาที่หมอจัดให้นั้นต้องปรับตามอาการเฉพาะบุคคลเท่านั้น และที่สำคัญน้ำที่ใช้เป็นตัวทำละลายสารสกัดนั้นจะต้องบริสุทธิ์
อย่างไรก็ตาม พญ.อรวรรณ อธิบายว่า แนวทางของโฮมีโอพาธีนั้นเป็นเพียงการกระตุ้นให้ร่างกายรักษาตนเอง เพื่อให้พลังชีวิตสมบูรณ์ขึ้น โดยอาศัยหลักควอนตัม และฟิสิกส์มาช่วยซึ่งถือว่าเป็นทางเลือกหนึ่ง แต่เนื่องจากโฮมีโอพาธีนั้นยังไม่เป็นที่แพร่หลายในเมืองไทยจึงอาจจะยังมีค่ารักษาที่ค่อนข้างสูงอยู่