“ม.ล.วัลย์วิภา” แทกทีมนักวิชาการต้านกรอบเจรจาปราสาทพระวิหาร ระดมความเห็นกรณีการขึ้นทะเบียนข้ามพรมแดนข้ามประเภทที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อนซึ่งเสี่ยงต่อการเสียพื้นที่อุทยานแห่งชาติรวมพื้นที่อุทยานสัตว์ป่า 1.5 ล้านไร่ จับตาการเจรจาถอนทหารจาก “วัดแก้วฯ” เปิดช่องเขมรฉวยโอกาสส่งไอซีซีเข้าไปบริหารพื้นที่ 4.6 ตร.กม.จวก กต.หมกเม็ด “จัดปาหี่ประชาพิจารณ์” ให้ข้อมูลเท็จ ปกปิดบิดเบือนความจริงประชาชน
วันนี้ (7 พ.ย.) เวลาประมาณ 13.30 น.ที่ห้องประชุมชั้น 9 อาคารอเนกประสงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ได้มีการจัดการแถลงข่าวและระดมสมอง โดยม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญ 9 สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมีนักวิชาการเข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น อาทิ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นายประกาศิต แก้วมงคล และเครือข่ายกรุงเทพ 99 เครือข่ายเยาวชนเพื่อประชาธิปไตย ฯลฯ ที่มีแนวคิดคัดค้านการกรอบการเจรจา ครม.นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์กรณีปราสาทพระวิหาร
มล.วัลย์วิภา ได้ชี้แจงผลการระดมสมองโดยสรุปว่า จะยืนยันการคัดค้านกรอบการเจรจา ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เสนอต่อรัฐสภา เพื่อขอความเห็นชอบตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 190 วรรค 3 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของแผนที่และการปรับกำลังทหารออกจากวัดแก้วศรีสิขะรีสะวะรา
นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญ 9 ไทยคดีศึกษา มธ.กล่าวต่อไปอีกว่า การอนุมัติขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารโดยนายนพดล ปัทมะ ไม่ได้ผ่านรัฐสภา ไม่ได้เป็นมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งศาลปกครองก็ได้มีคำสั่งคุ้มครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ก็ชี้ว่า เป็นการกระทำเกินอำนาจ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ชอบธรรมตั้งแต่ต้น และตอนนี้การรับรองสิ่งที่ไม่ชอบธรรมเพื่อให้ชอบธรรมนั้น เป็นสิ่งที่มิอาจกระทำได้
นอกจากนี้ ในประเด็นของการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนนั้น นายประกาศิต นักวิจัยสถาบันไทยคดีศึกษา มธ.ในฐานะที่เข้าร่วมฟังการเสวนาเชิงวิชาการที่จัดโดยกระทรวงการต่างประเทศ และสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า มีการหมกเม็ดอย่างเห็นได้ชัดเจน เนื่องจากกำหนดการจัดงานดังกล่าวแจ้งว่าเป็นการเสวนาเชิงวิชาการ แต่เมื่อถึงเวลาจริง ได้มีการระบุขณะดำเนินรายการว่า จะเป็นการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนแทน โดยเปิดโอกาสให้ประชาชน นักวิชาการ ตลอดจนผู้สนใจร่วมฟัง มีโอกาสซักถามและแสดงความคิดเห็นน้อยมาก แสดงให้เห็นชัดถึงความจงใจที่จะบิดเบือนการจัดกิจกรรม และหมกเม็ดรวบรัดเพื่อให้ได้สิ่งที่ตนต้องการ
ในขณะที่ นพ.ตุลย์ ระบุว่า งานเสวนาดังกล่าวไม่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นการจัดประชาพิจารณ์เพื่อการฟังเสียงของประชาชนอย่างแท้จริง แต่เป็น “ปาหี่ประชาพิจารณ์” มากกว่า พร้อมแสดงความเห็นว่า เป็นเรื่องแปลกที่กระทรวงการต่างประเทศของประเทศไทย ใช้หลักฐานสนับสนุนการขึ้นทะเบียนมรดกโลกด้วยแผนที่
“หากถามในระดับโลก ถึงการแบ่งอาณาเขตประเทศนั้น ร้อยทั้งร้อยจะต้องตอบว่า ใช้หลักสนธิสัญญา ไม่ใช่แผนที่ เพราะแผนที่ต้องจัดทำขึ้นตามสนธิสัญญา เพราะแผนที่มันผิดพลาดคลาดเคลื่อนได้ แต่สนธิสัญญาเป็นการตกลงกันระหว่างสองประเทศ ดังนั้น ถ้าคุณไปตามกระทรวงการต่างประเทศว่ายึดการแบ่งเขตตามอะไร แล้วเขาตอบว่า ยึดตามแผนที่ นั่นแหละ เขาล็อคคอตัวเอง ไม่มีใครเขาคิดกัน ไปบอกเลยนะ คนไหนให้แบ่งตามแผนที่ หมอตุลย์บอกว่าคนนั้นขายชาติ”
มล.วัลย์วิภา กล่าวถึงประเด็นที่คนไทยต้องเฝ้าระวังและเป็นกังวลก็คือ ประเด็นของการขึ้นทะเบียนข้ามพรมแดนข้ามประเภท ที่มีการพยายามดึงดันให้ขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมพร้อมๆ กับเป็นมรดกทางธรรมชาติ ที่ไม่เคยมีปรากฏในประวัติศาสตร์การขอขึ้นทะเบียนมรดกโลก ว่ามีการขอขึ้นข้ามประเภทมาก่อน ซึ่งหากขึ้นทะเบียนสำเร็จ จะส่งผลให้มีความเสี่ยงที่ไทยจะเสียพื้นที่อุทยาแห่งชาติ 2 แห่ง และอุทยานคุ้มครองสัตว์ป่าและพันธุ์พืช 5 แห่ง รวมเนื้อที่ทั้งสิ้น 1.5 ล้านไร่ รวมไปถึงพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นของไทย แต่ถูกรัฐบาลพยายามบิดเบือนให้เข้าใจว่าเป็นพื้นที่เขตกันชน ซึ่งขณะนี้พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่พิพาทและมีทหารประจำอยู่ ซึ่งหากไทยถอนทหารออกตามที่คาดกันว่าจะเป็นผลการเจรจาในวันที่ 10 จะเปิดโอกาสให้คณะกรรมการไอซีซี 7 ประเทศ เข้าไปบริหารพื้นที่ดังกล่าวได้
“วันที่ 10 นี้ จะมีการเจรจาระหว่าง 2 ประเทศ เกี่ยวกับการทหาร ซึ่งก็มีกระแสข่าวออกมาว่า อาจจะมีการปรับกำลังทหารออกจากวัดแก้วฯ ซึ่งเป็นนัยสำคัญ เชื่อว่ากัมพูชาจะฉวยโอกาสส่งไอซีซีเข้าไปแน่นอน” มล.วัลย์วิภา กล่าว