นับเนื่องหลายร้อยหลายพันปีแล้ว ที่ซีกโลกฝั่งตะวันออก เชื่อกันว่า “จิต” เป็นแหล่งพลังหลักของชีวิตและวิญญาณ จิตมีพลังที่เร้นอยู่ภายใน และหากมีการฝึกฝน ร่างกายจะสามารถนำพลังในจิตมาใช้ได้ รวมถึงนำมารักษาโรคโดยไม่ต้องพึ่งพาแพทย์แผนปัจจุบันอีกด้วย
“โยมรู้ไหม โรคไมเกรน ปวดหัว เครียด นอนไม่หลับ กระทั่งโรคที่เกิดจากการทำงาน ที่เรียกกันว่าออฟฟิศซินโดรม ที่มีอาการ ปวดต้นคอ ปวดขมับ ปวดหัวไหล่ หรือปวดหลังนั้น เราสามารถรักษาอาการเหล่านี้ด้วยตัวเองได้ โดยใช้จิตตัวเองเป็นเครื่องมือการรักษา” ภิกษุในผ้าจีวรสีกลักเริ่มต้นประโยคด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา
ภิกษุรูปนั้น คือพระอาจารย์ธวัชชัย ธมฺมทีโป พระอาจารย์ใหญ่ ศูนย์พัฒนาจิตเฉลิมพระเกียรติบ้านวังเมือง อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา พระภิกษุผู้นำแนวคิดการ “ดูจิต” เพื่อรักษาโรคและรักษาใจมาสอนประชาชน ซึ่งได้รับความสนใจจากส่วนงานราชการ ตลอดจนองค์กรเอกชนต่างๆ ที่นิมนต์พระคุณเจ้าไปเทศนาสอนวิธีดูจิตเป็นจำนวนมาก ได้เมตตามาสอนวิธีอันเป็นประโยชน์นี้แก่ประชาชนที่ยังไม่รู้วิธี ในงาน The Memory Day สายใยผูกพัน จดจำกันตลอดไป ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ที่จัดไปก่อนหน้านี้
“พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า “ธรรมทั้งปวง รวมลงที่จิต” จิตของเราโดยพื้นฐานนั้น เป็นสิ่งที่ผ่องใจ แต่เมื่ออารมณ์ต่างๆ จากสัมผัสทั้ง 5 ตารับภาพ หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส และสัมผัสรู้สึกถึงสิ่งต่างๆ โดยรอบนั้น อารมณ์ที่มากับ 5 เข้ามากระทบจิตเรา โดยเฉพาะเรื่องไม่ดีทั้งหลาย จิตของเราก็จะหม่นหมอง ซึ่งจะส่งผลให้ไม่มีความสุข ดังนั้น เราจึงต้องฝึกจิต ดูจิต เพราะถึงที่สุดแล้ว จิตที่ดีเท่านั้น จึงจะนำความสุขมาให้ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องดูจิตของเราอยู่เนืองๆ อยู่ตลอดเวลา”
พระอาจารย์ได้ยกตัวอย่างประโยชน์ของการดูจิตว่า เมื่อสิ่งไม่ดีเข้ามากระทบ 5 สัมผัส จะเกิดความ ไม่ชอบใจ ขุ่นใจ เศร้าใจ หรือกระทั่งความเครียด สิ่งเหล่านี้จะทำให้รู้สึกทุกข์ ความทุกข์และเศร้าหมองจากจิตที่รับรู้ ถ้ามากหรือสะสมในจิตใจมากๆ ก็จะส่งผลไปยังร่างกาย ทำให้เกิดโรคและอาการทางกายต่างๆ ต่างๆ ทั้งไมเกรน ปวดศีรษะ เครียด ปวดคอ ปวดขมับ ปวดไหล่ หรือปวดหลังได้
“ดังนั้น เราต้องดูจิต ตามจิตให้ทัน และพิจารณาจิตอยู่เนืองๆ แล้วปล่อยวางสิ่งที่ทำให้เศร้าหมอง จิตก็จะเป็นสุข ทุกข์ในใจก็จะไม่มี อาการทางร่างกายที่เกิดจากจิตก็จะหายไปด้วย”
พระอาจารย์ได้สอนวิธีการดูจิต ซึ่งสามารถทำได้เองตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ และแนะนำด้วยว่า ควรจะดูจิตตลอดเวลาเพื่อความเศร้าหมองจะได้เข้ามาแผ้วพานจิตไม่ได้ และที่สำคัญคือ นอกจากการดูจิตจะทำให้ผู้ทำผ่อนคลายแล้ว พลังจากจิตที่ฝึก ยังสามารถส่งพลังถึงผู้รับและแผ่เมตตาไปยังผู้ที่ล่วงลับไปแล้วได้ด้วย
ขั้นตอนการดูจิต
1. การค้นพบจิต - หงายมือทั้ง 2 ข้าง วางบนหัวเข่าสูดลมหายใจเข้าช้าๆ ลึกๆ ผ่อนลมหายใจออกเบาๆ ลงไปตรงกลางทรวงอก บริเวณลิ้นปี่ นิ่ง.. และสังเกตสักครู่หนึ่ง จะมีความรู้สึกเหมือนชีพจรเต้นอยู่ ตึ้บๆ วึ้บๆ (เกิด-ดับ) บางครั้ง รู้สึกแน่นๆ เหมือนเหนื่อยๆ หรือ รู้สึกว่างๆ อยู่ภายใน ก็ให้สังเกตความรู้สึกไว้ตรงนี้ด้วยอาการที่ผ่อนคลาย
2.เรียนรู้การรับ-ส่งกระแสเพื่อแผ่เมตตา - นำจิตไปรู้สึกที่มือทั้ง 2 ข้าง ค่อยๆยกมือขึ้น ระยะห่างกันเล็กน้อย นิ่ง.. สังเกตความรู้สึก จากนั้น ขยับมือเข้า - ออก ช้าๆ จะรู้สึกเหมือนแรงดึงดูด หรือลูกบอลพลังงาน ให้ส่งกระแสซึ่งกันและกัน โดยฝ่ายรับยกมือค้างไว้ ฝ่ายส่งขยับมือเข้า-ออก ส่งกระแสเข้าไป แล้วให้ผู้รับบอกความรู้สึกของกระแสที่รับได้ จากนั้น ผู้รับเปลี่ยนเป็นผู้ส่ง แล้วให้บอกความรู้สึกซึ่งกันและกัน
ต่อมา เปลี่ยนรูปแบบการส่ง โดยฝ่ายรับ หงายฝ่ามือขึ้น ไม่ต้องเคลื่อนไหว ฝ่ายส่ง คว่ำมือลง ผู้ส่งน้อมกระแสจากจิตไปที่มือทั้ง 2 ข้าง ขยับมือขึ้น-ลงช้าๆ เพื่อสังเกตความรู้สึกที่ส่งไป แล้วบอกความรู้สึกซึ่งกันและกัน เช่น อุ่นๆ ร้อนๆ เหมือนแรงดึงดูด .. หนักๆ เวลาขยับมือเข้าใกล้ เบาๆ เมื่อยกมือออกห่าง ฯลฯ ฝ่ายรับเปลี่ยนเป็นฝ่ายส่ง ให้ส่งกระแสซึ่งกันและกัน
3.แผ่เมตตาอย่างสั้นๆ-จากจิต นึกถึงใครแผ่เมตตาไป “ให้มีความสุข” การแผ่เมตตาไม่มีประมาณ จากจิต น้อมบุญกุศลที่เราได้ทำแล้วในบัดนี้ แผ่ไปให้พ่อ-แม่ ครูบาอาจารย์ ญาติสนิท มิตรที่รัก นิ่งสักครู่หนึ่ง...เมื่อต้องการออกจากการแผ่เมตตา อย่ารีบลืมตา ให้ตั้งจิตภายในว่า “กลับ” แล้วสูดลมหายใจเข้าช้าๆ ผ่อนความรู้สึกลงมาที่จิต ... ที่มือ... ลงมาที่ขา สัก 2-3 ครั้ง แล้วค่อยๆ ลืมตา
พระอาจารย์ธวัชชัย กล่าวต่อว่า เมื่อปฏิบัติได้ดังนี้แล้ว ฝีกบ่อยๆ ก็จะทำไปเองเป็นอัตโนมัติ ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง หรือนอน ทุกการเคลื่อนไหว ให้สังเกตความรู้สึกที่จิต เห็นการเกิด-ดับภายในไปตลอดเวลา ศีล-สมาธิ-ปัญญา จึงเดินไปพร้อมกัน และสมาธิจากการฝึกจิตจะทำให้เราปล่อยวางผ่อนคลายความเครียด ทำให้จิตและร่างกายโล่งสบาย โรคที่เกิดจากความเครียดก็จะหายไป