ในขณะที่ความสะดวกสบายในเมืองหลวงยิ่งทวีขึ้นทุกวัน มองไปทางไหนก็จะเห็นแต่ป่าคอนกรีต ที่ผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด เช่นเดียวกันกับในชนบทห่างไกลที่มีการปลูกป่าเช่นกัน แตกต่างกัน คือ ที่นี่เป็นการปลูกและอนุรักษ์ป่ามีชีวิต ที่ต้องแลกด้วยกำลัง แรงกาย แรงใจจากชาวบ้านในการพิทักษ์รักษาป่าที่ได้ชื่อว่า “ป่าชุมชน” สมบัติอันล้ำค่าที่พวกเขาหวงแหนที่สุด
ดังเช่นใน หมู่บ้านดอนหมู ต.ขามเตี้ย อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี หมู่บ้านขนาดกลางที่อาจจะตกสำรวจจากภาครัฐเนื่องจากสิ่งอำนวยความสะดวกหลายอย่างยังไม่ถูกเหลียวแล แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะพวกเขาเลือกที่จะพึ่งตนเอง โดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง และด้วยความกลมเกลียวของชาวบ้าน ประกอบกับการได้รับทุนสนับสนุนจาก สสส.ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้เกิดความเข้มแข็งมากขึ้น ที่สำคัญยังมีการบริหารจัดการสมบัติของชุมชนอย่าง ป่าชุมชน ได้อย่างยั่งยืน
** พลังชาวบ้านเพื่อ “ป่าชุมชน”
แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ เรื่องราวการต่อสู้เพื่อได้มาซึ่งป่าชุมชนอันอุดมสมบูรณ์ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ทำให้ที่นี่ได้รับคำกล่าวขวัญถึงเลือดอนุรักษ์ที่เข้มข้น สำหรับเรื่องนี้ ยรรยงค์ จิตรติกรกุล ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบ้านดอนหมู ได้เล่าย้อนถึงเรื่องราวให้ฟังว่า เดิมทีพื้นที่ป่าภายในชุมชนที่มีกว่า 200 ไร่ อยู่ในสภาพเสื่อมโทรมอย่างหนัก เนื่องจากมีผู้บุกรุกตัดไม้ และในอดีตคนที่นี่ทำอาชีพเผาถ่านขาย ทำให้ต้นไม้จากป่าหายไปจำนวนมาก อีกทั้งในช่วงปี พ.ศ.2528 ทางภาครัฐได้มีการส่งเสริมให้ปลูกป่ายูคาลิปตัส โดยมีการส่งคนเข้ามาให้ความรู้ ให้เหตุผลถึงข้อดีในการปลูกโดยอ้างว่า ปลูกแล้วจะได้ประโยชน์ เพราะเป็นพืชเศรษฐกิจ และจะมีการนำมาปลูกแซมในป่าของหมู่บ้าน ทำให้ชาวบ้านต่างเข้าใจว่าคงจะมีการปลูกป่าเสริมป่าก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร แต่เอาเข้าจริงเจ้าหน้าที่ได้ทำการสำรวจเพื่อเตรียมพื้นที่ปลูก ทั้งยังมีการแผ้วถางป่า เผาป่า ต้นไหนที่ขวางแนวสำรวจก็โค่นทิ้ง ซึ่งวิธีการที่ทำนี้คงไม่ใช่การมาปลูกป่าเสริมแน่นอน
ดังนั้น ชาวบ้านทุกคนเห็นตรงกันว่าต้องหาวิธีจัดการ โดยนำกล้องมาถ่ายภาพการบุกรุกป่าเก็บไว้เป็นหลักฐาน และได้มีการล่ารายชื่อคนทั้งหมู่บ้าน พื้นที่ใกล้เคียงเพื่อต้านการบุกรุกป่า ทำให้ความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่รัฐ จนเรียกที่นี่ว่าหมู่บ้านคอมมิวนิสต์ ซึ่งความจริงแล้วสิ่งที่ทำไปก็เพราะต้องการทำในสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น
“เมื่อเรามีหลักฐานทั้งรูปและรายชื่อผู้ร่วมคัดค้านการปลูกป่ายูคาลิปตัสก็นำไปยื่นที่ทำเนียบรัฐบาล จากนั้นเขาก็มีคำสั่งระงับทันที เมื่อทุกอย่างถูกสั่งระงับ เราก็มากั้นแนวเขตป่าภายในชุมชนเพื่อไม่ให้มีใครเข้ามาบุกรุกอีก และมีการจัดตั้งกรรมการเพื่อบริหารจัดการป่าชุมชน ซึ่งช่วงแรกชาวบ้านก็ไม่เห็นด้วยในการมาบริหารจัดการป่า เพราะจะมีข้อห้ามต่างๆ มากมาย เช่นห้ามตัดไม้ คนที่เผาถ่านขายก็ไม่เห็นด้วยกับเรา แต่เมื่อเราอธิบายถึงแนวทางการจัดการ และเพื่อเป็นการรักษาป่าให้อยู่อย่างยั่งยืนทุกคนก็เริ่มเข้าใจ อีกทั้งคนที่มีที่ดินอยู่รอบๆ บริเวณป่าก็บริจาคที่ดินคืนทำให้มีพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 600 ไร่จนกระทั่งถึงปัจจุบัน” ผู้ช่วย ผญบ.เล่าย้อนอดีต
** บริหารจัดการ เพื่อแหล่งอาหารของชุมชน
ในส่วนการบริหารจัดการป่านั้น ธีรชาติ ปลาทอง ประธานกลุ่มชาวนาเกษตรอินทรีย์ จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นหนึ่งในแกนนำหมู่บ้าน ขยายความว่า ป่าชุมชนของเราเป็นป่าเปิดทำให้มีผู้คนจากต่างพื้นที่เข้ามาใช้ประโยชน์ แต่ทุกคนก็ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่วางไว้ เช่น ห้ามใช้เลื่อยไฟฟ้าในการตัดไม้ หากจะมีการเข้ามาตัดไม้เพื่อไปสร้างหรือซ่อมแซมบ้านก็จะตัดได้ไม่เกิน 3 ต้น ซึ่งไม่ได้ขอได้ทุกปี เป็นต้น และผลที่ได้จากการอนุรักษ์จัดการป่านั้นสิ่งที่ภูมิใจคือการได้รักษาความหลากหลายของป่าไว้ได้ เพราะป่าแห่งนี้เป็นเหมือนแหล่งอาหารของคนในชุมชนและยังเผื่อแผ่ถึงคนในพื้นที่โดยรอบ อีกทั้งยังเป็นแหล่งยาพื้นบ้านชั้นดีที่มีพืชสมุนไพรอยู่อย่างหลากหลายชนิด
“สิ่งสำคัญ คือ อาหารที่ได้จากป่า ที่มีทั้งเห็ดนานาชนิด และหน่อไม้ที่ออกตามฤดูกาล นอกจากนี้ชาวบ้านยังสามารถเก็บของป่าที่มีอยู่ออกขายซึ่งจะมีผู้มารับซื้อถึงในหมู่บ้าน และเมื่อมีการตรวจสอบจากการทำบัญชีครัวเรือนของชาวบ้านก็จะพบว่าพวกเขามีเงินเก็บเป็นแสน เพราะนอกจากจะมีรายได้เสริมจากการทำนาโดยการเก็บของป่าขายแล้วชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อกับข้าวจากตลาดภายนอกหมู่บ้าน ทุกอย่างสามารถหาได้จากภายในพื้นที่ทั้งสิ้น เมื่อความเป็นอยู่ดีขึ้นคุณภาพชีวิตดีก็ดีตามมา” แกนนำหมู่บ้านขยายความ
** “ป่าประสาเด็ก” ปลุกจิตสำนึกเยาวชน
แต่การอนุรักษ์ บริหารจัดการป่าไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ยังมีการปลุกจิตสำนึกให้แก่เยาวชนเช่นกัน โดย ตัวแทนแกนนำหมู่บ้าน อธิบายต่อว่า แนวทางที่ใช้ในการปลูกฝังเยาวชนให้เห็นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ป่าคือการจัดโครงการ “ป่าประสาเด็ก” กล่าวคือ การให้เด็กมีส่วนร่วมในการดูแลป่าของเขาเองโดยการให้พื้นที่ในการปลูกต้นไม้ได้ตามความต้องการซึ่งพวกเขาจะต้องเป็นผู้ดูแล รักษา เองทั้งหมด เป็นการสร้างจิตสำนึก ความรับผิดชอบ และสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของป่าให้เกิดขึ้นกับพวกเขาต่อไป เพราะจะว่าไปแล้ว ณ เวลานี้ป่าเป็นเหมือนจิตใจของคนทั้งหมู่บ้าน
“จากวันนั้นจนถึงวันนี้ที่นี่เปลี่ยนไปอย่างมากก็เกิดได้จากการที่ทุกคนร่วมมือกันดูแล พลิกฟื้นป่าชุมชน เพราะหากเรามีป่าแล้วไม่ดูแลจะเป็นเรื่องเสียหายอย่างมาก ไม่ต้องถึงกับมีป่าชุมชนเป็นร้อย เป็นพันไร่ มีแค่ไหนก็จัดการแค่นั้น เพื่อประโยชน์ของคนในชุมชนให้เป็นรูปธรรม บางครั้งอาจเป็นเรื่องยากในการคิดเริ่มต้น แต่เมื่อเริ่มนับหนึ่ง ขั้นต่อไปก็จะตามมา หากปล่อยปละละเลยให่ป่าเสื่อมลงไปทุกวัน ถึงวันนั้นอาจสายเกินไป” แกนนำหมู่บ้านวิงวอน