กทม.จัดนิทรรศการเทิดพระเกียรติวันแม่ 12 สิงหา พร้อมร่วมทำบุญ-ตักบาตร-ปล่อยปลา-แจกกล้าไม้ล้านที่ 4 เปิดโครงการจักรยานชมกรุงเกาะรัตนโกสินทร์ และประกาศเปิดตัวกองทุนลดความรุนแรง พร้อมเปิดตัวกองทุนป้องกันและแก้ไขการใช้ความรุนแรงในครอบครัว 11 ส.ค.นี้
นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะผู้บริหาร กทม.ว่า เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 76 พรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินินาถ 12 สิงหาคม 2551 กทม.กำหนดจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติเริ่มตั้งแต่ 11 สิงหาคม โดยจะมีการจัดโต๊ะถวายสักการะทั้ง 50 สำนักงานเขต และศาลาว่าการ กทม.การจัดนิทรรศการเทิดพระเกียรติ “เรารักษ์เจ้าพระยา” ตามพระราชเสาวนีย์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ขึ้นที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ซึ่งนิทรรศการดังกล่าวจะเป็นการรวบรวมภาพผลงานต่างๆ ของ กทม.ที่ได้ทำเกี่ยวกับแม่น้ำเจ้าพระยา และจะเปิดให้ประชาชนได้ชมไปจนถึงวันที่ 31 ส.ค.นอกจากนั้น ที่ศาลาว่าการ กทม.ได้จัดพิธีมอบรางวัลแม่ดีเด่นแห่ง กทม.ซึ่งคัดเลือกมาทั้ง 50 เขต และในวันที่ 12 ส.ค.ได้มีการจัดงานทำบุญตักบาตรพระสงฆ์จำนวน 577 รูป ที่สนามหลวง เวลา 07.00 น.นอกจากนั้น ก็จะได้มีการเปิดตัวโครงการจักรยานชมกรุงเกาะรัตนโกสินทร์ (Green Bangkok Bike) ปล่อยปลาที่สวนสันติชัยปราการ และ แจกกล้าต้นไม้ล้านที่ 4 ที่สวนเบญจกิติ เพื่อให้สร้างความตระหนักให้ประชาชนรู้รักษ์พลังงาน และสิ่งแวดล้อม
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองผู้ว่าฯ กทม.กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ในวันที่ 11 ส.ค.จะมีการประกาศเปิดตัวกองทุนป้องกันและแก้ไขการใช้ความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งได้มีการอนุมัติงบประมาณจำนวน 50 ล้านบาท หลังจากที่ระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยกองทุนป้องกันและแก้ไขการใช้ความรุนแรงในครอบครัวครอบครัว พ.ศ.2551 ผ่านการพิจารณาของผู้บริหาร กทม.โดยในวันดังกล่าวจะมีการเปิดตัวคณะกรรมการกองทุน ทั้งหมด 14 คน ที่เบื้องต้นประกอบด้วย ผู้ว่าฯ กทม.เป็นประธาน รองผู้ว่าฯ กทม.ที่สั่งราชการสำนักพัฒนาสังคม เป็นรองประธาน ปลัด กทม.รองปลัด กทม.ที่สั่งราชการสำนักพัฒนาสังคม และคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอกจำนวน 5 คน เป็นกรรมการ อย่างไรก็ตาม โครงการกองทุนดังกล่าวเป็นโครงการกองทุนต่อเนื่องที่ได้ทำมาตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อช่วยลดปัญหาสังคมทาง ช่วยเหลือสตรีที่ถูกกระทำการรุนแรงโดยบุคคลในครอบครัว
นายพุทธิพงษ์ กล่าวต่อว่า เบื้องต้นการใช้เงินกองทุนดังกล่าว ได้กำหนดให้ผู้ประสงค์จะขอรับการสนับสนุนไม่ว่าจะเป็นองค์กรภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรชุมชน องค์กรพัฒนาเอกชน หรือแม้แต่เป็นรายบุคคลแต่ต้องมีผู้รับรองที่เชื่อได้ เขียนโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนเพื่อให้คณะกรรมการได้พิจารณา ซึ่งหากเป็นโครงการที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ก็จะมีการอนุมัติงบต่อไป
เบื้องต้นจะเป็นเป็น 3 ส่วน คือ โครงการขนาดเล็ก ได้รับเงินสนับสนุน ไม่เกิน200,000 บาท โครงการขนาดใหญ่ ได้รับเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 200,000 บาทแต่ไม่เกิน 500,000 และโครงการขนาดใหญ่ ได้รับเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 50,0000 บาท ถึง 1,000,000 บาท ทั้งนี้จะมีการประเมินผลโดยคณะกรรมการกองทุนฯ โดยหลังจากอนุมัติเงิน 30 วัน และหากไม่สามารถดำเนินการตามโครงการได้ก็จะมีการริบเงินกลับเข้ากองทุน อย่างไรก็ตาม หากโครงการดังกล่าวมีการประเมินผลว่าแก้ปัญหาได้จริง ในปีงบประมาณต่อไปก็จะมีการจัดสรรเงินงบประมาณเพิ่มขึ้นให้ด้วย
