โพล ชี้ วัยรุ่นกว่า 70% ไม่รู้วิธีใช้ยาคุมฉุกเฉิน กว่าครึ่งไม่ทราบอันตราย ยันเด็กไทย 77% เคยเห็นเพื่อนมีเซ็กซ์+อยู่ก่อนแต่ง กว่า 52% พลาดเลือกทำแท้ง หมอเตือนใช้ยาคุมฉุกเฉินพร่ำเพรื่อเกิดปัญหาต่อสุขภาพ เมนส์มาไม่ปกติ ท้องนอกมดลูก ห่วงทำแท้งเถื่อนเสี่ยงเสียชีวิต หมดสิทธิ์ท้องอีก เปิดโครงการ “รักนี้คุมได้” ให้ความรู้ปรับพฤติกรรมวัยรุ่น
วันที่ 22 ก.ค.นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากผลการสำรวจความคิดเห็นของสวนดุสิตโพลในหญิงที่อยู่ในวัยเรียน กทม.และต่างจังหวัด 1,031 คน อายุ 15-20 ปี ระหว่างวันที่ 21 มิ.ย.-10 ก.ค.ที่ผ่านมา พบว่า ส่วนใหญ่มีเพื่อนหรือคนรู้จักมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียนและอยู่ก่อนแต่ง 77.69% และ 66.15% ไม่กล้าบอกผู้ปกครอง ว่า มีเพศสัมพันธ์ ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่าง 56.95% ไม่เห็นด้วยกับการมีเพศสัมพันธ์และ 71.58% ไม่เห็นด้วยกับการอยู่ก่อนแต่งในวัยเรียนและตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจ
“นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างมีเพื่อน หรือคนรู้จักทำแท้งในวัยเรียน 51.98% พร้อมกับยังไม่เห็นด้วยกับข่าวที่ว่ามีการทำแท้งในเยาวชนที่ท้องโดยไม่พึงประสงค์ลดลงด้วยถึง 55.87% ขณะเดียวกัน 90% ขึ้นไปของกลุ่มตัวอย่าง เห็นว่า การทำแท้งเป็นเรื่องที่บาปมาก น่ากลัว และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ทัศนคติต่อการคุมกำเนิดนั้น กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ไม่รู้จักยาคุมฉุกเฉิน และไม่ทราบวิธีการใช้ยาที่ถูกต้อง 71.49% อีกทั้ง 50.83% ไม่ทราบถึงอันตรายจากการใช้ยาคุมฉุกเฉิน” นพ.ณรงค์ศักดิ์ กล่าว
นพ.ณรงค์ศักดิ์ กล่าวต่อว่า สอดคล้องกับข้อมูลของกรมอนามัย ที่พบว่า ปัจจุบันวัยรุ่น 36% เคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว และมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก อายุเฉลี่ย 16 ปี ซึ่งมีแนวโน้มที่จะมีอายุน้อยลงเรื่อยๆ โดยที่เพศชายอายุเฉลี่ย 15 ปี และเพศหญิงอายุเฉลี่ย 16 ปี เร็วกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ซึ่งมีอายุเฉลี่ย 19 ปี จึงทำให้เกิดการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ และการทำแท้ง โดยแม่ที่คลอดบุตรมีอายุน้อยกว่า 20 ปี เพิ่มจาก ในปี 2542 ที่มี 12.5% เป็น14.7% ในปี 2549 ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ 10% จากปัญหาดังกล่าวทำให้ประเทศไทยมีเด็กทารกถูกทอดทิ้งวันละ 3 คน ทำให้ส่งผลกระทบต่อสภาพสังคมและเศรษฐกิจในระดับมหภาคด้วย
“กรมได้ร่วมมือกับสภาวิชาการ ศูนย์วิทยาศาสตร์สาธารณสุข บริษัท ไบเออร์เชริ่ง ฟาร์มา เปิดโครงการ รักนี้คุมได้ขึ้น โดยจัดทำเว็บไซต์ www.mylovemycontrol.com พร้อมกับสมุดเลิฟไดอารี่ รักนี้คุมได้ เพื่อเป็นคู่มือของสาวยุคใหม่ บันทึกประจำเดือนเพื่อสุขภาพ และทางออกของการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน เพื่อรณรงค์การป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ และสร้างค่านิยมที่ถูกเกี่ยวกับการคุมกำเนิด และลดพฤติกรรมเสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์ก่อนไว้อันควร” นพ.ณรงค์ศักดิ์ กล่าว
นพ.กิตติพงศ์ แซ่เจ็ง ผู้อำนวยการกองอนามัยเจริญพันธุ์ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้น่าเป็นห่วงวัยรุ่นที่นิยมซื้อยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินมารับประทานเองหลังมีเพศสัมพันธ์ เพราะส่วนใหญ่จะไม่ทราบวิธีใช้ที่ถูกต้อง ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับสุขภาพ อาทิ ประจำเดือนมาไม่ปกติ กระปริบกระปรอย จนถึงขั้นท้องนอกมดลูกได้
นพ.กิตติพงศ์ กล่าวต่อว่า ยาดังกล่าวเหมาะสำหรับผู้ที่ถูกข่มขืน หรือถุงยางอนามัยรั่ว หรือหลุดหลังมีเพศสัมพันธ์ แต่วัยรุ่นกลับใช้วิธีดังกล่าวแทนการทานยาคุมกำเนิดชนิดแผง และการใช้ถุงยางอนามัย ทั้งนี้ การใช้ยาคุมกำเนิดดังกล่าวยังยังเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์มากถึง 25% เพราะต้องทานยาเม็ดแรกภายใน 72 ชั่วโมงก่อนมีเพศสัมพันธ์ แต่จะได้ผลดีต้องทานภายใน 24 ชั่วโมง และตามด้วยเม็ดที่สองภายใน 12 ชั่วโมงถัดจากทานเม็ดแรก
“ผลเสียที่จะเกิดขึ้นหากทานยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินเกินกว่าข้อบ่งชี้ที่ไม่ควรทานเกินเดือนละ 4 เม็ด หากเกินจะทำให้มีประจำเดือนมาไม่ปกติ กระปริกระปรอย รวมถึงระดูจะมาผิดปกติด้วย ทำให้ไม่ทราบว่าตั้งครรภ์ และอาจทำให้เกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้” นพ.กิตติพงศ์ กล่าว
ศ.นพ.วรพงศ์ ภู่พงศ์ ผู้แทนสภาวิชาการคุมกำเนิดแห่งภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกประจำประเทศไทย กล่าวว่า จากข้อมูลการวิจัยของสภาวิชาการฯ พบว่า ผู้หญิงกว่า 123 ล้านคนทั่วโลก มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้คุมกำเนิด และกว่า 85% หญิงตั้งครรภ์ภายในปีแรก แต่พบว่า มีการใช้คุมกำเนิดเพียง 7% ของหญิงทั่วโลกเท่านั้น ในจำนวนนี้ กว่า 46 ล้านคนทั่วโลก ตัดสินใจทำแท้ง และในจำนวนนี้ 27 ล้านคนอยู่ในทวีปเอเชีย ซึ่งเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยทำให้หญิงทั่วโลกเสียชีวิตปีละ 7.8 หมื่นราย และส่งผลต่อสุขภาพทำให้ไม่สามารถตั้งครรภ์อีกได้
“ข้อมูลจากศูนย์วิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เปิดสายด่วนให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องเพศ ปรากฏว่า มีผู้โทร.มาใช้บริการตั้งแต่น้อยกว่า 10 ขวบ ไปถึง 70 ปี แต่โดยเฉลี่ยอายุประมาณ 20-30 ปี โดยคำถามส่วนใหญ่เป็นเรื่องของเพศสัมพันธ์และการตอบสนองทางเพศ รองลงมาเป็นเรื่องของการความต้องการของคู่สมรส และการคุมกำเนิดวางแผนครอบครัว” ศ.นพ.วรพงศ์ กล่าว