นักวิชาการแนะรัฐบาลตั้งคณะกรรมการเจรจาปัญหา “เขาพระวิหาร” ในเวทีโลก เสนอชื่อ “สมปอง-อานันท์-วีระชัย” ให้ข้อมูลนานาชาติ โดยห้ามตั้งบุคคลที่มีปัญหากับ ป.ป.ช.หรือมีคดีความติดตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง พร้อมตั้ง คกก.ฝ่ายวิชาการเป็นทีมสนับข้อมูล ส่วน “ฮุนเซน” ฟ้องอาเซียนให้มองเป็น “โอกาส” ไทยได้บอกข้อมูลชาวโลก พร้อมจี้รัฐประกาศเลิกใช้แผนที่ L7017 ที่ไทยทำขึ้นโดยเข้าใจผิด วอน “บางคน” เลิกทำชาติเสียหาย ตั้งหน้าทำดีเสียที
หลังการหารือระหว่างคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (จีบีซี) เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งมี พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ พล.อ.เตีย บัญ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหมกัมพูชา ร่วมเป็นประธานไม่ได้ข้อยุติใดๆ ที่ชัดเจนอันจะช่วยยุติการเผชิญหน้าของทหารทั้งสองประเทศที่เกิดขึ้นในขณะนี้ นายฮอร์ นัมฮอง รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ได้ส่งจดหมายถึงนายจอร์จ เยียว รัฐมนตรีต่างประเทศสิงคโปร์ ซึ่งกำลังทำหน้าที่ประธานการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนที่จัดขึ้นที่สิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 21-24 กรกฎาคมนี้ ร้องขอให้นายเยียวตั้งกลุ่มรัฐมนตรีจากประเทศอาเซียน ประกอบด้วย รัฐมนตรีต่างประเทศสิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม และลาว เพื่อช่วยหาวิธีแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีต่อวิกฤตการณ์ดังกล่าวเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าทางทหารระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งสองประเทศ
นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการประวัติศาสตร์ และอดีตอนุกรรมการพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า การที่ประเทศกัมพูชายื่นขอความช่วยเหลือเพื่อไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทต่อเวทีโลก ถือเป็นโอกาสที่ดีของไทย เพราะขณะนี้เราได้พบหลักฐานใหม่ เป็นแผนที่ที่คณะปาวีของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมีหน้าที่สำรวจปักปันเขตแดนจัดทำขึ้น ตั้งแต่ ค.ศ.1907 ซึ่งแผนที่ฉบับดังกล่าวแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพื้นที่บนเขาพระวิหารเป็นของไทย หากกัมพูชาจะยินดีรับฟังความคิดเห็น หรือยอมรับความจริงในเรื่องนี้ ตนก็เห็นว่าการหาคนกลางมาช่วยตัดสินปัญหาไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่บอกไม่ได้ว่าเป็นผลดีกับเราแค่ไหน ขอให้เห็นว่าเป็นโอกาสดีที่เราจะมีช่องทางเสนอข้อมูลให้ชาวโลกได้รับรู้
“รัฐบาลควรตั้งคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่เจรจาเรื่องพื้นที่เขาพระวิหารในเวทีโลกขึ้นมา โดยต้องไม่ตั้งคนที่มีปัญหากับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือมีคดีความต่างๆ ติดตัวอยู่ ควรหาคนที่มีความสามารถและเจนเวทีโลก อาทิ นายสมปอง สุจริตกุล อดีตเอกอัครราชทูตไทย นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นนักการทูต และเคยทำงานอยู่กับยูเนสโก นายวีระชัย พลาศรัย อดีตอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ซึ่งบุคคลเหล่านี้มีความน่าเชื่อถือในเวทีโลก และตั้งคณะกรรมการฝ่ายนักวิชาการทำหน้าที่หาข้อมูลสนับสนุนคณะกรรมการชุดใหญ่ โดยข้อเสนอทั้งหมดนี้อยู่บนเงื่อนไขว่า รัฐบาลต้องเต็มใจที่จะดำเนินการ”นายเทพมนตรีกล่าว
นายเทพมนตรี กล่าวอีกว่า สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่รัฐบาลต้องเร่งทำคือการขอสงวนสิทธิ์ยกเลิกใช้แผนที่ฉบับ L7017 ซึ่งเป็นการทำแผนที่ของฝ่ายไทยโดยเข้าใจผิด ไปยึดเอาเขตรั้วลวดหนามที่คณะรัฐมนตรีเมื่อ พ.ศ.2505 ให้ทหารไปล้อมรอบตัวปราสาทพระวิหารไว้เป็นเขตแดน ทั้งที่ความจริงเขตแดนของเราอยู่ที่แนวสันปันน้ำ ไม่เช่นนั้นกัมพูชาจะอ้างแผนที่ L7017 ต่อเวทีโลกได้ ซึ่งจะทำให้เราต้องเสียผาเป้ยตาดี และ อ.กราบเชิง จ.สุรินทร์ ให้กัมพูชาไป
นอกจากนี้ ขอร้องให้ทุกฝ่ายโดยเฉพาะสื่อมวลชนเลิกใช้คำว่าพื้นที่ทับซ้อน เพราะพื้นที่บนเขาพระวิหารทั้งหมดเป็นของประเทศไทย มีเพียงตัวปราสาทพระวิหารเท่านั้นที่เป็นของกัมพูชา ตามการตัดสินของศาลโลก ซึ่งไทยได้ขอสงวนสิทธิเอาไว้ตลอดมา
“ส่วนที่ฮุนเซนอยากจะเจรจากับบางคนนั้น ประชาชนก็ต้องช่วยกันยืนยันว่าบางคนไม่ใช่เจ้าของประเทศไทยที่จะทำอะไรกับประเทศนี้ก็ได้ และบางคนก็ควรยอมรับความพ่ายแพ้ ตั้งหน้าตั้งตาทำความดี อย่าทำความเสียหายให้กับประเทศอีกเลย”นักวิชาการประวัติศาสตร์กล่าว
หลังการหารือระหว่างคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (จีบีซี) เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งมี พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ พล.อ.เตีย บัญ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหมกัมพูชา ร่วมเป็นประธานไม่ได้ข้อยุติใดๆ ที่ชัดเจนอันจะช่วยยุติการเผชิญหน้าของทหารทั้งสองประเทศที่เกิดขึ้นในขณะนี้ นายฮอร์ นัมฮอง รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ได้ส่งจดหมายถึงนายจอร์จ เยียว รัฐมนตรีต่างประเทศสิงคโปร์ ซึ่งกำลังทำหน้าที่ประธานการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนที่จัดขึ้นที่สิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 21-24 กรกฎาคมนี้ ร้องขอให้นายเยียวตั้งกลุ่มรัฐมนตรีจากประเทศอาเซียน ประกอบด้วย รัฐมนตรีต่างประเทศสิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม และลาว เพื่อช่วยหาวิธีแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีต่อวิกฤตการณ์ดังกล่าวเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าทางทหารระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งสองประเทศ
นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการประวัติศาสตร์ และอดีตอนุกรรมการพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า การที่ประเทศกัมพูชายื่นขอความช่วยเหลือเพื่อไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทต่อเวทีโลก ถือเป็นโอกาสที่ดีของไทย เพราะขณะนี้เราได้พบหลักฐานใหม่ เป็นแผนที่ที่คณะปาวีของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมีหน้าที่สำรวจปักปันเขตแดนจัดทำขึ้น ตั้งแต่ ค.ศ.1907 ซึ่งแผนที่ฉบับดังกล่าวแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพื้นที่บนเขาพระวิหารเป็นของไทย หากกัมพูชาจะยินดีรับฟังความคิดเห็น หรือยอมรับความจริงในเรื่องนี้ ตนก็เห็นว่าการหาคนกลางมาช่วยตัดสินปัญหาไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่บอกไม่ได้ว่าเป็นผลดีกับเราแค่ไหน ขอให้เห็นว่าเป็นโอกาสดีที่เราจะมีช่องทางเสนอข้อมูลให้ชาวโลกได้รับรู้
“รัฐบาลควรตั้งคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่เจรจาเรื่องพื้นที่เขาพระวิหารในเวทีโลกขึ้นมา โดยต้องไม่ตั้งคนที่มีปัญหากับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือมีคดีความต่างๆ ติดตัวอยู่ ควรหาคนที่มีความสามารถและเจนเวทีโลก อาทิ นายสมปอง สุจริตกุล อดีตเอกอัครราชทูตไทย นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นนักการทูต และเคยทำงานอยู่กับยูเนสโก นายวีระชัย พลาศรัย อดีตอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ซึ่งบุคคลเหล่านี้มีความน่าเชื่อถือในเวทีโลก และตั้งคณะกรรมการฝ่ายนักวิชาการทำหน้าที่หาข้อมูลสนับสนุนคณะกรรมการชุดใหญ่ โดยข้อเสนอทั้งหมดนี้อยู่บนเงื่อนไขว่า รัฐบาลต้องเต็มใจที่จะดำเนินการ”นายเทพมนตรีกล่าว
นายเทพมนตรี กล่าวอีกว่า สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่รัฐบาลต้องเร่งทำคือการขอสงวนสิทธิ์ยกเลิกใช้แผนที่ฉบับ L7017 ซึ่งเป็นการทำแผนที่ของฝ่ายไทยโดยเข้าใจผิด ไปยึดเอาเขตรั้วลวดหนามที่คณะรัฐมนตรีเมื่อ พ.ศ.2505 ให้ทหารไปล้อมรอบตัวปราสาทพระวิหารไว้เป็นเขตแดน ทั้งที่ความจริงเขตแดนของเราอยู่ที่แนวสันปันน้ำ ไม่เช่นนั้นกัมพูชาจะอ้างแผนที่ L7017 ต่อเวทีโลกได้ ซึ่งจะทำให้เราต้องเสียผาเป้ยตาดี และ อ.กราบเชิง จ.สุรินทร์ ให้กัมพูชาไป
นอกจากนี้ ขอร้องให้ทุกฝ่ายโดยเฉพาะสื่อมวลชนเลิกใช้คำว่าพื้นที่ทับซ้อน เพราะพื้นที่บนเขาพระวิหารทั้งหมดเป็นของประเทศไทย มีเพียงตัวปราสาทพระวิหารเท่านั้นที่เป็นของกัมพูชา ตามการตัดสินของศาลโลก ซึ่งไทยได้ขอสงวนสิทธิเอาไว้ตลอดมา
“ส่วนที่ฮุนเซนอยากจะเจรจากับบางคนนั้น ประชาชนก็ต้องช่วยกันยืนยันว่าบางคนไม่ใช่เจ้าของประเทศไทยที่จะทำอะไรกับประเทศนี้ก็ได้ และบางคนก็ควรยอมรับความพ่ายแพ้ ตั้งหน้าตั้งตาทำความดี อย่าทำความเสียหายให้กับประเทศอีกเลย”นักวิชาการประวัติศาสตร์กล่าว