xs
xsm
sm
md
lg

อดีตทูตจี้รัฐบาลลาออกทั้งคณะรับผิดชอบ “ปราสาทเขาพระวิหาร”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อดีตเอกอัครราชทูต จี้ “รัฐบาลหมัก” ส่งหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรแจ้งกัมพูชาเลิกข้อตกลงร่วมอย่างเป็นทางการ ชี้ เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลทั้งคณะ ที่มีมติให้ไปลงนาม หากเป็นรัฐบาลประเทศอื่นคงลาออกไปแล้ว แต่ไทยเป็นประชาธิปไตยอาเพศ จึงไม่มีใครรับผิดชอบ

นายสุรพงษ์ ชัยนาม
อดีตเอกอัครราชทูต 5 ประเทศ และอดีตอธิบดีกรมเอเชียตะวันออก กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า เมื่อคำสั่งศาลปกครองกลางได้ออกมาชัดเจนแล้ว รัฐบาลต้องไม่ดำเนินใดๆ และระงับการดำเนินการทุกอย่าง ซึ่งขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์ก็ได้ยื่นฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญด้วยว่าการลงนามข้อตกลงดังกล่าว ผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 190 หรือไม่ คงต้องรอคำพิพากษาของศาลด้วย หากศาลวินิจฉัยว่าขัดกฎหมาย มาตรา 190 แถลงการณ์ร่วมที่รัฐบาลไทยและกัมพูชา ทำร่วมกัน ก็ถือเป็นโมฆะไปโดยปริยาย สิ่งที่รัฐบาลไทยต้องทำ คือ ทำหนังสือแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรถึงกัมพูชา ว่า ขอระงับแถลงการณ์ร่วม ไม่มีผลใช้บังคับไปก่อน เพราะไทยมีปัญหากระบวนการทางกฎหมายของประเทศไทย ซึ่งต้องรอให้เกิดความชัดเจน โดยอาจเป็นหนังสือจาก รมว.ต่างประเทศ ของไทย ถึง รมว.ต่างประเทศ ของกัมพูชา หรือเป็นหนังสือจากนายกรัฐมนตรีไทย ถึงนายกรัฐมนตรีกัมพูชา แต่ต้องเป็นหนังสือจากรัฐบาลประเทศหนึ่งส่งถึงรัฐบาลประเทศหนึ่ง ให้ได้รับทราบอย่างเป็นทางการ เพราะข้อตกลงที่ไปทำนั้น ถือเป็นสนธิสัญญาที่มีผลผูกพันทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งเชื่อว่าสถานทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย ก็คงจะทราบเรื่องและรายงานให้ทางกัมพูชาได้ทราบอยู่แล้ว แต่ไทยก็ต้องแจ้งอย่างเป็นทางการ

นายสุรพงษ์ กล่าวต่อไปอีกว่า ส่วนความรับผิดชอบของผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น ก็ต้องดูหลักฐาน เพราะเชื่อว่าการดำเนินการเรื่องนี้ คงมีการสั่งการเป็นลายลักษณ์อักษร และเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมีทั้งมติ ครม.และคำสงวนสิทธิ์ของไทยในปราสาทพระวิหารปี 2505 ข้าราชการประจำได้มีข้อเสนอแนะใดต่อรัฐบาลหรือไม่ หรือทั้งๆ ที่รู้ว่าผิดกฎหมายก็ยังกระทำ ทั้งหมดต้องพิจารณาจากหลักฐาน เว้นแต่ภาคการเมืองจะสั่งการด้วยวาจาก็มีแนวโน้มว่าข้าราชประจำจะเป็นแพะรับบาป

“ส่วนความรับผิดชอบของฝ่ายการเมืองนั้น เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของ นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ เพียงคนเดียว แต่ที่ประชุม ครม.ได้มีมติให้นายนพดลไปลงนามข้อตกลงได้โดยไม่มีใครคัดค้าน จึงถือเป็นความรับผิดชอบของคณะรัฐบาลทั้งคณะ ไม่ใช่ความผิดของคนใดคนหนึ่ง ซึ่งหากเป็นรัฐบาลของประเทศอื่นที่อยู่ในวิถีประชาธิปไตย เขาคงลาออกไปนานแล้ว แต่ประเทศเรามันเป็นประชาธิปไตยอาเพศ จึงไม่มีใครออกมารับผิดชอบสักคน”

นายสุรพงษ์ กล่าวอีกว่า ตนติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีของฝ่ายค้านมาตลอด และเห็นว่า ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล หลายคนชอบอ้างว่า ประเทศไทยลงนามไปแล้ว และที่ลงนามไปนั้น ก็เพราะคำนึงถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง 2 ประเทศ ถือเป็นคำพูดที่ไร้ความรับผิดชอบอย่างที่สุดของ ส.ส.ฟากรัฐบาล เพราะความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศนั้น หมายถึงความสัมพันธ์ที่ดีซึ่งต้องอยู่บนพื้นฐานของประโยชน์และอธิปไตยร่วมกัน ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบเอาใจประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือมีความสัมพันธ์โดยผลประโยชน์ของชาติเสียหาย แต่การทำแถลงการณ์ร่วมของนายนพดล ไม่ได้สนองประโยชน์ประเทศไทย สนองประโยชน์กัมพูชาเพียงฝ่ายเดียว ดังนั้น สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศคือ ผลประโยชน์แห่งชาติทั้งสอง ความเป็นมิตรประเทศต้องอยู่บนพื้นฐานมีประโยชนร่วมกัน

“ผมเห็น ส.ส.รัฐบาลยกมือประท้วงในสภา ขอไม่ให้ฝ่ายค้านอภิปรายเรื่องปราสาทพระวิหาร และแถลงการณ์ร่วมที่ทำไป เพราะเกรงว่าจะกระทบต่อความสัมพันธ์ของไทยกับกัมพูชา ผมคิดว่าเป็นคำพูดที่บ้องตื้น ไร้สาระมาก เพราะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น เราสามารถมีความสัมพันธ์ได้หลายมิติ ทั้งเรื่องการเมือง สังคม เศรษฐกิจ หรือวัฒนธรรม การที่เรามีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่อกันนั้น ไม่ว่าจะอย่างไรก็มีผลกระทบถึงกัน ไม่ว่าเราจะหยิบเอาเรื่องนี้มาพูดหรืออภิปรายในสภาหรือไม่ ผลกระทบในความสัมพันธ์มันเกิดขึ้นอยู่ทุกวันจากมิติต่างๆ อยู่แล้ว แต่ประเด็น คือ เราต้องให้ผลกระทบที่เกิดขึ้นเป็นประโยชน์กับทั้ง 2 ฝ่ายไม่ใช่เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายใดฝ่ายเดียว” อดีตเอกอัครราชทูต กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น