อดีตเอกอัครราชทูตไทย ชี้รัฐบาล "หุ่นเชิด" ได้มอบอธิปไตยเหนือพื้นที่เขาพระวิหารให้กับกัมพูชาไปแล้วเพื่อแลกผลประโยชน์ และยังลบล้างมติ ครม.เมื่อปี 2505 ที่เคยอ้างสิทธิ์พื้นที่ดังกล่าวเอาไว้ ชี้เป็นการมุบมิบปิดบังซ่อนเร้น
วันนี้(19 มิ.ย.) ที่เวทีสะพานมัฆวานฯ ในช่วงรู้ทันประเทศไทย ดำเนินรายการโดย นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และ นายสันติสุข มะโรงศรี โดยมีผู้ร่วมรายการคือ นายสุรพงษ์ ชัยนาม อดีตเอกอัครราชทูตประจำสหประชาชาติ และ นายกษิต ภิรมย์ อดีตเอกอัครราชทูตประจำกรุงวอชิงตันดีซี สหรัฐ
นายสุรพงษ์ ได้ชื่นชมประชาชนที่อดทนชุมนุมกันอย่างสงบ และมีวินัยเป็นที่จับตามองเป็นตัวอย่างของทั่วโลก และเป็นการชุมนุมเพื่อต่อต้านเผด็จการ
นายสุรพงษ์ กล่าวถึงกรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาว่า สิ่งที่ต้องการคำตอบจากรัฐบาลคำตอบเดียวคือที่ผ่านมาเราไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลโลก และได้สงวนสิทธิ์การครอบครองอธิบไตยเหนือปราสาทพระวิหารตลอดเวลา
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า การที่ นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไปลงนามยอมรับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของกัมพูชาเพียงฝ่ายเดียวเท่ากับทำให้เรายอมรับอธิปไตยของกัมพูชาไปแล้ว นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อปี 2505 ในเรื่องดังกล่าวไปด้วย
"ที่บอกว่าเราไม่ได้เสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียวนั้น พูดแบบนั้นได้อย่างไร เพราะมันเสียไปแล้วและที่สำคัญการทำสัญญาลักษณะนี้คนไทยต้องมีส่วนรับรู้ด้วย" อดีตประจำสหประชาชาติผู้นี้ระบุและว่าทางทีดีไทยควรยื่นขอจดทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกัน ดังนั้นพฤติกรรมของรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยจึงน่าสงสัย เพราะไม่เคยเปิดเผยข้อมูลให้ทราบมาก่อน เพิ่งมาเปิดเผยเอาตอนเรื่องแดงแล้ว เป็นการเอาผลประโยชน์ของชาติไปแลกกับคนบางคน
ด้าน นายกษิต กล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้เป็นหุ่นเชิดก็ต้องเกี่ยวพันกับผลประโยชน์ ไม่ซื่อสัตย์สุจริต และว่าการตัดสินใจต้องให้ประชาชนต้องรับรู้ทั้งทางตรงและทางอ้อมคือผ่านทางรัฐสภา เพราะเป็นเรื่องของดินแดนและอธิปไตยของชาติ เรายอมรับไม่ได้กับการตัดสินใจของรัฐบาลแบบนี้
อย่างไรก็ดีเมื่อถึงตอนนี้ ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เปิดเสียงเพลงมารบกวนด้วยเสียงดัง ทำให้ นายกษิต กล่าวตำหนิอย่างรุนแรงชี้ให้เห็นว่าเป็นพฤติกรรมที่เลวทรามต่ำช้าที่สุดเป็นเผด็จการแบบฮิตเล่อร์
นายกษิต กล่าวว่า ทางที่ดีทั้งไทยและกัมพูชาต้องมีการปักปันเขตแดนร่วมกันก่อน จากนั้นแล้วค่อยมีการเสนอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกัน