โพลชี้คนไทยห่วงปากท้องมากกว่าการเมือง อธิบดีกรมสุขภาพจิตชูธงสุขภาพจิตหนุนเสื้อขาว พร้อมชวน ขรก.ในกรมแสดงพลัง อยากให้บ้านเมืองสงบ
นพ.ม.ล.สมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า จากการสำรวจสุขภาพจิตของประชาชนในภาวะวิกฤตทางโทรศัพท์จำนวน 2,400 คนทั่วประเทศ เพื่อทราบสถานการณ์ของปัญหาสุขภาพจิตและหาแนวทางการช่วยเหลือ โดยสำรวจทุก 3 เดือน โดยได้ทำการสำรวจครั้งแรกเมื่อเดือนส.ค. 2550, พ.ย.2550, ก.พ.2551 และล่าสุด พ.ค.2551 อยู่ระหว่างการประมวลผล อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจสุขภาพจิตในเดือน ก.พ.2551 พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความเครียดถึง 47.4% โดยปัญหาที่ทำให้เครียดมากที่สุด คือ ปัญหาการงาน การเงิน โดยเพศหญิง 65.2% ของกลุ่มตัวอย่างมีความเครียดมากกว่าเพศชาย
“นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างช่วงอายุ 21-30 ปี เป็นกลุ่มที่มีความเครียดมากกว่ากลุ่มอื่นๆ โดยจะรู้สึกกับปัญหาที่เกิดขึ้นว่าเป็นปัญหาที่หนักหนาแต่ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเองถึง 91.7% และส่วนใหญ่เชื่อว่าสามารถแก้ไขปัญหาได้สำเร็จ”นพ.ม.ล.สมชาย กล่าว
นพ.ม.ล.สมชาย กล่าวต่อว่า กลุ่มของผู้ที่มีความคิดทำร้ายตนเอง พบว่า อัตราความคิดที่จะทำร้ายตนเองเป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย จากการสำรวจในครั้งแรกๆ คนใน กทม.ทำร้ายตัวเองมากกว่าเขตอื่นๆ แต่ครั้งล่าสุดพบว่าเขตภาคเหนือทำร้ายตนเองมากกว่าเขตอื่นๆ และสถานการทางการเงินของครอบครัวที่ไม่ค่อยพอใช้หรือต้องพึ่งพาคนอื่น จะมีความคิดทำร้ายตนเองสูงกว่าคนอื่น ซึ่งทางกรมฯ พยายามควบคุมอัตราการฆ่าตัวตายไม่ให้เกิน 6.5 คนต่อแสนประชากร จากเดิมที่วิกฤตเศรษฐกิจในปี 2541 เพิ่มขึ้นไปถึง 10 คนต่อแสนประชากร
นพ.ม.ล.สมชาย กล่าวถึงสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ด้วยว่า ตนขอสนับสนุนแนวคิดของเครือข่าย “ประชาธิปไตย เห็นต่างกันได้แต่อย่าใช้ความรุนแรง” ที่มีแนวคิดอยากให้เกิดความสงบ โดยแสดงพลังด้วยการใช้สีขาวเช่นการใส่เสื้อขาวเป็นสัญลักษณ์ ซึ่งเราควรที่จะสนับสนุนคนกลุ่มนี้ให้มีพลังมากขึ้น โดยตนเองจะใส่เสื้อขาวมาทำงาน พร้อมทั้งรณรงค์ให้ข้าราชการภายในกรมรวมกันแสดงพลังเช่นนี้ด้วย
ส่วนฝ่ายรัฐบาลก็ต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชน สนใจเรื่องการแก้ไขปัญหาปากท้อง พูดจาให้นุ่มนวลมีสันถวไมตรีที่ดีขึ้น เพราะการเมืองผูกเข้ากับทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจและสังคม ถ้ามีปัญหาที่การเมือง ก็แก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้
นพ.ม.ล.สมชาย กล่าวด้วยว่า อยากให้ฝ่ายทุกฝ่ายคิดถึงประชาชนเป็นหลัก เพราะจากผลการสำรวจระบุชัดว่าคนส่วนใหญ่สนใจเรื่องปากท้องมากกว่าเรื่องอื่นใด โดยเฉพาะปากท้องใหญ่กว่าเรื่องการเมืองอยู่แล้ว
นพ.ม.ล.สมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า จากการสำรวจสุขภาพจิตของประชาชนในภาวะวิกฤตทางโทรศัพท์จำนวน 2,400 คนทั่วประเทศ เพื่อทราบสถานการณ์ของปัญหาสุขภาพจิตและหาแนวทางการช่วยเหลือ โดยสำรวจทุก 3 เดือน โดยได้ทำการสำรวจครั้งแรกเมื่อเดือนส.ค. 2550, พ.ย.2550, ก.พ.2551 และล่าสุด พ.ค.2551 อยู่ระหว่างการประมวลผล อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจสุขภาพจิตในเดือน ก.พ.2551 พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความเครียดถึง 47.4% โดยปัญหาที่ทำให้เครียดมากที่สุด คือ ปัญหาการงาน การเงิน โดยเพศหญิง 65.2% ของกลุ่มตัวอย่างมีความเครียดมากกว่าเพศชาย
“นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างช่วงอายุ 21-30 ปี เป็นกลุ่มที่มีความเครียดมากกว่ากลุ่มอื่นๆ โดยจะรู้สึกกับปัญหาที่เกิดขึ้นว่าเป็นปัญหาที่หนักหนาแต่ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเองถึง 91.7% และส่วนใหญ่เชื่อว่าสามารถแก้ไขปัญหาได้สำเร็จ”นพ.ม.ล.สมชาย กล่าว
นพ.ม.ล.สมชาย กล่าวต่อว่า กลุ่มของผู้ที่มีความคิดทำร้ายตนเอง พบว่า อัตราความคิดที่จะทำร้ายตนเองเป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย จากการสำรวจในครั้งแรกๆ คนใน กทม.ทำร้ายตัวเองมากกว่าเขตอื่นๆ แต่ครั้งล่าสุดพบว่าเขตภาคเหนือทำร้ายตนเองมากกว่าเขตอื่นๆ และสถานการทางการเงินของครอบครัวที่ไม่ค่อยพอใช้หรือต้องพึ่งพาคนอื่น จะมีความคิดทำร้ายตนเองสูงกว่าคนอื่น ซึ่งทางกรมฯ พยายามควบคุมอัตราการฆ่าตัวตายไม่ให้เกิน 6.5 คนต่อแสนประชากร จากเดิมที่วิกฤตเศรษฐกิจในปี 2541 เพิ่มขึ้นไปถึง 10 คนต่อแสนประชากร
นพ.ม.ล.สมชาย กล่าวถึงสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ด้วยว่า ตนขอสนับสนุนแนวคิดของเครือข่าย “ประชาธิปไตย เห็นต่างกันได้แต่อย่าใช้ความรุนแรง” ที่มีแนวคิดอยากให้เกิดความสงบ โดยแสดงพลังด้วยการใช้สีขาวเช่นการใส่เสื้อขาวเป็นสัญลักษณ์ ซึ่งเราควรที่จะสนับสนุนคนกลุ่มนี้ให้มีพลังมากขึ้น โดยตนเองจะใส่เสื้อขาวมาทำงาน พร้อมทั้งรณรงค์ให้ข้าราชการภายในกรมรวมกันแสดงพลังเช่นนี้ด้วย
ส่วนฝ่ายรัฐบาลก็ต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชน สนใจเรื่องการแก้ไขปัญหาปากท้อง พูดจาให้นุ่มนวลมีสันถวไมตรีที่ดีขึ้น เพราะการเมืองผูกเข้ากับทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจและสังคม ถ้ามีปัญหาที่การเมือง ก็แก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้
นพ.ม.ล.สมชาย กล่าวด้วยว่า อยากให้ฝ่ายทุกฝ่ายคิดถึงประชาชนเป็นหลัก เพราะจากผลการสำรวจระบุชัดว่าคนส่วนใหญ่สนใจเรื่องปากท้องมากกว่าเรื่องอื่นใด โดยเฉพาะปากท้องใหญ่กว่าเรื่องการเมืองอยู่แล้ว
