xs
xsm
sm
md
lg

รู้ทัน “สัญญาณแก่”ด้วยตัวคุณเอง/นพ.กฤษดา ศิรามพุช

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เรื่องโดย...นพ.กฤษดา ศิรามพุช, พบ.(จุฬาฯ)
ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์อายุรวัฒน์
(American Board of Anti-aging medicine)
drkrisda@gmail.com

คนหนุ่มสาวคือคนที่ไม่เคยแก่ แต่คนแก่คือคนที่เคยผ่านวัยเยาว์มาแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นมันก็อดไม่ได้ที่จะครั่นคร้ามกับความเสื่อมความไม่สบายกายที่อาจจะเข้ามา นั่นเป็นเพราะว่าเรายังมีกรอบความคิดเดิมที่ว่าความแก่หลีกเลี่ยงไม่ได้เหมือนกับไซโคลนหรือแผ่นดินไหว ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงครับ แต่จริงไม่หมด

นั่นคือที่จริงแล้วมันสามารถหลีกเลี่ยงออกไปไกลๆ ได้ ทำให้หนุ่มสาวอยู่นานที่สุด เพียงถ้าคุณได้ตรวจพบมันก่อนเสียแต่เนิ่นๆ ด้วยการวิธีการทางเวชศาสตร์อายุรวัฒน์ที่จะช่วยบอกอายุทางชีวภาพจริงๆของคุณว่าแก่หรืออ่อนกว่าอายุจริงที่เป็นตัวเลขแค่ไหน แต่ในขณะนี้ถ้าคุณยังไม่ได้มีโอกาสไปตรวจกับแพทย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์ก็ไม่เป็นไรครับ ขอนำวิธีตรวจหาสัญญาณความชราด้วยตัวเองมาเล่าสู่กันฟังไปเป็นการชิมลางก่อนดังนี้ครับ

ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์สำคัญต่างๆขึ้นมักจะมีสิ่งที่เป็นเสมือน “ลางบอกเหตุ” นำมาก่อน เช่น ก่อนจะเกิดสึนามิก็มีปลาน้ำลึกมาตายเกยตื้นหาด มีหมอกธุมเกตุลงครึ้มเป็นอาเพศบอกลางร้ายของแผ่นดินเกิดขึ้นมา หรือแม้แต่ตลาดหุ้นที่อาจจะร่วงดิ่งลงมาก่อนที่จะมีการยุบการพองอะไรของพรรคการเมืองต่างๆ นาๆ หรือแม้แต่จู่ๆ ผู้คนในสภาก็กลับกลายมาเป็นดาวซัลโวนักเตะให้ดังไปทั่วโลก ผมว่าก็น่าจะถือเป็นหนึ่งในอาเพศได้นะครับ

ในเรื่องของความแก่ก็เช่นเดียวกัน ดังที่บอกไปว่าคนเราเริ่มแก่เมื่ออายุน้อยกะร่อยกะหริบเพียง 25 ปีเท่านั้น แต่เนื่องจากเป็นความแก่ในระดับเซลล์ซึ่งเหลือวิสัยที่ตามองเห็น เราจึงยังรู้สึกฮึกเหิมในสุขภาพกายอยู่ แต่เมื่อเข้าอายุสักเลขสามขึ้นจะเริ่มรำพึงถึงความแก่มากขึ้นด้วยว่าเริ่มมีสัญญาณความแก่ที่เห็นได้บ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรอยย่นละเอียดที่ข้างจมูกหรือหางตา

และพอเข้าอายุ 45 ปีจะไม่ได้แต่เพียงสังเกตได้แล้วหากแต่จะรู้สึกถึง “ความแก่” ที่เข้ามาเยือนได้ทีเดียว ซึ่งเป็นตัวเลขอายุที่ควรจะเริ่มตรวจร่างกายโดยละเอียดทางเวชศาสตร์อายุรวัฒน์แล้วเพราะตอนนี้ตบะอินทรีย์คุณจะแก่กล้าไปด้วยอนุมูลอิสระมากมายแบบล้นเหลือ โดยอนุมูลอิสระนี้จะทำหน้าที่เหมือนสนิมที่คอยกัดกร่อนร่างกายเราให้เสื่อมโทรมลงไปแบบเงียบๆทีละน้อยๆเหมือนเสาเหล็กที่ถูกสนิมเกาะกินจนโค่นไปเองในที่สุดหาได้ล่มเพราะถูกขโมยถอดน็อตไปไม่

ดังนั้น เรื่องการตรวจดูให้รู้จัก “จุดอ่อน” ในกายให้ได้ก่อนจึงเป็นสุดยอดปรารถนาของคนฉลาดผู้ไม่อยากประมาทกับชีวิตอันแสนสั้นทุกท่านทั่วโลก ไม่นานนี้นักวิทยาศาสตร์หัวใสชาวฝรั่งเศสใกล้เมืองตากอากาศสวยงามนามนีซจึงได้คิดค้นเทคโนโลยีที่จะทำให้คุณเห็นความแก่ในอนาคตของตัวเองได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นโดยสร้างโปรแกรมขึ้นมาเรียกว่าโปรแกรม “กระจกบอกอนาคต” คล้ายกับเทคโนโลยียุคสโนไวท์ แต่ครั้งนี้เป็นสโนไวท์ไฮเทคใช้หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นบานคันฉ่องใหญ่ เพียงใส่ข้อมูลที่สำคัญทางเวชศาสตร์อายุรวัฒน์เข้าไปโดยเน้นที่เรื่องของอาหารการกินกับการออกกำลังกาย หรือพูดง่ายๆให้ใส่ว่ากินเก่งแค่ไหนหรือขี้เกียจออกกำลังเพียงใด แล้วมันจะให้ภาพคร่าวๆของตัวเราในอีกห้าปีข้างหน้าออกมาให้เห็น

จะปริ๊นท์เก็บไว้เป็นอนุสรณ์เตือนใจก็ไม่เลวนัก ด้วยว่าที่จริงทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่ากินอย่างไรดีต่อสุขภาพและการขยับแข้งขาสักหน่อยจะทำให้แก่ช้าลง แต่เมื่อยังไม่เห็นภาพศพ เอ๊ย...ทันโทษ ภาพตัวเองก็ยังไม่รู้สึกนัก โปรแกรมกระจกวิเศษนี้จะทำให้เราได้เห็นภาพความแก่ของตัวเองแบบเป็นนามธรรมได้จะๆ ทีเดียว
รูปที่ 1 ภาพตัวอย่างโปรแกรม “กระจกวิเศษ” ของบริษัทแอคเซ็นเจอร์เทคโนโลยีแสดงให้เห็นว่าถ้ายังคงสูบบุหรี่และมีพฤติกรรมเสี่ยงทางสุขภาพต่อไป  ในอนาคตอีกเพียง 5 ปีข้างหน้าจะมีหน้าตาเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง
ความแก่เริ่มเมื่อใด?
ความแก่ชรานั้นเราไม่ได้ดูแต่ภายนอกที่ผิวหรือมีรอยตีนกาเหมือนผ้ายับย่นแต่เพียงอย่างเดียว บางท่านอาจมีอายุมากแต่กลับมีรอยอัดพลีตยับย่นบนใบหน้าน้อยกว่าเด็กรุ่นใหม่ที่ใช้ชีวิตกรำอนุมูลอิสระก็มี ถ้าจะถามเจาะลึกลงไปว่าเริ่มแก่เมื่อใดนั้น ก็คงบอกเอาแน่ไม่ได้เพราะถ้าบอกไปบางคนก็จะชะล่าใจคิดว่ายังไม่ถึงวัยที่จะต้องป้องกันร่างกายเอาไว้ให้ดี ประเดี๋ยวรอให้ถึงจุดนั้นให้แก่เสียก่อนก็ได้

เพราะที่จริงแล้วร่างกายเรานั้นไม่เคยหยุดนิ่งเลยนับแต่วันปฏิสนธิมันก็มุ่งหน้าเข้าหาเชิงตะกอนจิตกาธานแล้ว วันนี้ตื่นมายังหน้าใสเป็นวัยรุ่นแต่เผลอแผล็บกลับกลายเป็นยายแก่ไปได้ เร็วกว่าค่าน้ำมันเบนซินปัจจุบันเสียอีก บางทีเราอาจเคยรู้สึกอยากตื่นขึ้นมาแล้วกลับเป็นอายุยี่สิบอีกสักทีเหลือเกินแต่แล้วก็ได้แต่ทอดอาลัย

อันที่จริงสิ่งนี้ไม่ยากเกินไปเลยครับถ้าคุณเริ่มจับทิศทางความแก่ได้ จึงขอนำตัวเลขอายุคร่าวๆที่จะบอกว่าเราเริ่มแก่มาให้คุณผู้อ่านดูกันจะได้เป็นเสมือนหลักชัยในแต่ละวัยให้เราระแวดระวังตัวเอง ดังนี้ครับ

1) อายุ 25-35 ปี (Subclinical phase of aging) น่าตกใจที่วัยนี้เป็นวัยที่เริ่มแก่แล้วทั้งที่เพิ่งผ่านพ้นวัยรุ่นมาได้ไม่นาน แล้วจะเป็นที่น่าตกใจขึ้นถ้าบอกว่าบางคนเริ่มแก่เร็วตั้งแต่ก่อนอายุ 25 เสียอีกด้วยฤทธิ์แรงแห่งการใช้ชีวิตไม่บันยะบันยัง วัยเพียงนี้การตรวจร่างกายแบบทั่วไปมักไม่พบความผิดปกติใด เพราะความแก่ยังอยู่ในระดับเซลล์เล็กๆ(Intracellular changes)เกินกว่าคลองจักษุมนุษย์สามัญจะเห็นได้ แต่การตรวจในระดับของเวชศาสตร์อายุรวัฒน์สามารถบอกสัญญาณเริ่มต้นบางอย่างได้ เช่นจากปริมาณเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระที่เริ่มลดน้อยลง ในวัยนี้ถ้ารู้ได้ก่อนก็จะได้ป้องกันไว้แต่เนิ่นๆ ดังที่บอกว่าเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นั้น “ยิ่งเริ่มเร็ว ยิ่งดี”

2) อายุ 35-45 ปี (Transitional phase of aging) คนเราจะเข้าสู่กระบวนการแก่เร็วหรือช้ากว่ากันก็ขึ้นอยู่กับวัยนี้เองครับ วัยนี้จึงมีชื่อว่าวัยแห่งการเปลี่ยนแปลง(Transition) ด้วยว่าถ้าเราปฏิบัติตัวดีถูกทำนองคลองธรรมแห่งสุขภาพและจิตใจไม่ไขว้เขวไปตามแรงขับของฮอร์โมนสมัยวัยผู้ใหญ่ตอนต้นนั้นก็จะทำให้การเปลี่ยนแปลงเข้าสู่กระบวนการแก่ช้าลง แทนที่จะเริ่มแก่ตั้งอายุ 35 ปีอาจจะสามารถชะลอด้วยตัวคุณเองไปได้ถึงอายุราวสี่สิบเชียวนะครับ ในวัยนี้ความแก่จะเห็นชัดเจนขึ้นมีรอยจีบย่นข้างแก้ม หางตา และรู้สึกร่างกายไม่กระปรี้กระเปร่ามีพลังธาตุแห่งวัยเยาว์เหมือนดังเดิม

3) อายุ 45 ปีขึ้นไป (Clinical phase of aging) ในวัยนี้ไม่ว่าใครทุกผู้นามต่างต้องพบกับสัจธรรมคือความแก่ทั้งนั้น แต่ทั้งนี้ความชราจะมาพร้อมพยาธิหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง โดยมากเมื่ออายุขึ้นเลขห้าก็จะมีโรคประจำตัวแถมพกกันมาคนละโรคหรืออย่างงอมหน่อยก็สองสามโรค ถ้าอินทรีย์แก่กล้าด้วยฤทธิ์แห่งการปฏิบัติตัวโดยการตั้งอยู่ในความไม่ประมาทมาตลอดนั้น คุณก็จะก้าวเข้าสู่วัยนี้ได้อย่างสบายใจเสมือนก้าวข้ามพ้นห้วงโอฆสงสารไปได้ แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าใครที่เคยใช้ชีวิตสมบุกสมบันมาตลอดพอล่วงถึงวัยนี้เข้าก็ถือเป็นช่วง “Pay back” แล้วครับจะกลายเป็นวัยแห่งการชดใช้หนี้กรรมเก่า ป่วยการที่จะมานั่งกลุ้มใจกับสิ่งที่ผ่านมาแล้วและนั่งโทษตัวเอง ขอให้อยู่กับปัจจุบันและเริ่มดูแลสุขภาพอย่างดีที่สุดเพื่อชดเชยกับสิ่งที่เสียไป และอย่ากลัวว่าแก่แล้วเสียเวลาปฏิบัติเปล่า เพราะเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นั้นจะให้ผลดีกับคนทุกเพศวัยครับ

แม้ว่าความแก่จะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะชะลอมันออกไปได้โดยการยืดช่วงเวลาที่มีสุขภาพดีออกไปให้ยืนยาวที่สุด ส่วนท่านที่เริ่มระลึกถึงสิ่งอันเป็นอกุศลกรรมทั้งหลายที่ได้กระทำต่อเรือนกายนี้มาโดยตลอดก็อย่าเพ่อทอดถอนใจว่าไร้ทางแก้ ยังแก้ได้อยู่ครับเพียงแต่ว่าอาจไม่ดีเด่นเห็นผลชัดนักเหมือนในวัยเด็กอายุน้อย

แต่สิ่งที่คุณยังพอทำได้เพื่อคนรุ่นใหม่ รุ่นลูก รุ่นหลานก็คือแนะนำให้เขาเริ่มรักษาสุขภาพกันตั้งแต่ยังอายุน้อย เริ่มสนใจตรวจดูแลสุขภาพกันอย่าพลันนิ่งนอนใจ คะนองจิตว่ายังหนุ่มฉกรรจ์ ยังเป็นสาวแส้ ไม่แม้จะต้องเยี่ยมชายตามองหาหมอก็อยู่ได้เป็นร้อยปี ถ้าคุณได้มีโอกาสให้คำแนะนำเป็นธรรมทานให้เขาเข้าใจเปลี่ยนอวิชชาให้เป็นวิชชาได้บ้างก็จะเป็นบุญกุศลให้สุขภาพเราดีขึ้นได้ครับ
รูปที่ 2 ภาพร่างด้วยดินสอฝีมืออัครศิลปินดาวินชีที่มีชื่อว่า “The study of five grotesque heads” แสดงให้เห็นสัจธรรมของความแก่และเผยไตรลักษณ์ของสังขารให้เห็นอย่างชัดเจน
การตรวจเฉพาะบุคคล
ต่างคนก็ต่างใจต่างกายกัน แต่ในหนึ่งคนต้องมีใจรักจริงอยู่ได้เพียงใจเดียวเหมือนอย่างเพลงหวาน “หนึ่งในดวงใจ” ที่ท่านจอมพลสฤษดิ์บัญชาให้ครูเอื้อและครูชอุ่มช่วยกันประพันธ์ขึ้นมาเพื่อรับขวัญปนเว้าวอนท่านผู้หญิงวิจิตราของท่านจอมพลให้กลับมาเมืองไทยอย่าให้ท่านเปล่าเปลี่ยวเอกาอยู่คนเดียว แต่ถ้าเป็นคนประเภทหัวใจแบ่งตัวเร็วผิดปกติสร้างได้หลายห้องก็ต้องระวังให้ดีว่าจะอายุสั้นเอาได้เหมือนกัน นี่คือความสำคัญของการดูแลเอาใจใส่เป็นรายบุคคล

ดังนั้น หัวใจของเวชศาสตร์อายุรวัฒน์คือการตรวจอย่างละเอียดเป็นรายบุคคลคือ ให้ความสำคัญในรายละเอียดของสุขภาพคุณตั้งแต่ระดับโรคประจำตัวหลักๆไปจนถึงระดับลึกเรื่องปลีกย่อยจำนวนมิลลิกรัมของยาที่รับประทานอยู่เลยทีเดียว และเวลานั่งคุยซักประวัติกันนั้นต้องเรียกว่าแทบจะชักแม่น้ำมาตั้งแต่น้ำคร่ำจนเกือบจะถึงเชิงตะกอนทีเดียว ค่าที่ว่าเราเป็นแพทย์ที่เน้นความสำคัญแบบองค์รวมทั้งหมดทางสุขภาพ ทั้งกาย ใจและจิตวิญญาณ และคุณเองเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องตัวเองดีที่สุดมาตั้งแต่เกิด แม้ว่าตอนแรกเกิดแม่อาจรู้เรื่องตัวคุณดีกว่าก็ตามทีแต่ก็อย่าไปลำบากลำบนคุณแม่ท่านจนถึงขนาดเลย เราเอาตัวคุณเป็นหลักในการร่ายยาวประวัติทั้งหมดให้ฟัง

จะเห็นว่าลำพังแค่การซักประวัติก็บอกได้แล้วว่าคุณมีความเฉพาะตัว ก็ใครจะไปมีประวัติชีวิตคล้ายกันเดินตามต้อยๆติดกันมาตั้งแต่เกิดจนวันสุดท้ายของชีวิตถ้าคุณไม่ใช่คุณทวดแฝดอินจันบันลือโลกหรือแฝดสยามคู่ไหนๆ

นอกจากนั้นแม้จะเป็นในบุคคลเดียวกัน ในแต่ละช่วงอายุก็จะมีสิ่งที่ควรตรวจต่างๆกัน ดังที่กล่าวไปข้างต้นแล้วว่าแต่ละอายุมีรูปแบบการแก่ไม่เหมือนกัน อายุ 25 ปีก็เริ่มแก่ได้แล้วแต่เป็นการแก่ในระดับเซลล์ยังมองไม่เห็นเป็นรูปธรรมชัด ดังนั้นในการตรวจทางเวชศาสตร์อายุรวัฒน์จึงแบ่งการตรวจหลักออกได้สี่ประการดังนี้

1) ตรวจสารชีวเคมีในเลือด และตรวจหาปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคได้ในอนาคต โดยการตรวจประเภทนี้เหมาะสำหรับวัยผู้ใหญ่ตอนต้นเพราะจะได้รู้เขารู้เราก่อนและเริ่มป้องกันจุดอ่อนของร่างกายได้ก่อนที่จะเข้าสู่วัยที่มีการเปลี่ยนแปลงระยะที่สอง

2) ตรวจฮอร์โมน ทั้งเรื่องของฮอร์โมนเพศและฮอร์โมนหนุ่มสาวที่เป็นเสมือนธาตุแห่งความเยาว์วัยที่ทำให้คุณกระชุ่มกระชวยอยู่เสมอว่ายังอยู่ดีมีสุขหรือลดลงมากน้อยเพียงไร และใช้ตรวจติดตามเมื่อเข้าโปรแกรมต้านความชราแล้วว่ามีความก้าวหน้าในทางสุขภาพอย่างไรบ้าง

3) ตรวจศักยภาพการต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ดังที่เราทราบกันดีแล้วว่าความชรานี้เกิดจากอนุมูลอิสระมาจับกัดกินเหมือนสนิมกินตัวถังรถ และเมื่อยิ่งแก่ตัวเข้าร่างกายก็สร้างสารต้านอนุมูลอิสระได้น้อยลง สนิมก็กัดกินตัวถังคุณได้อย่างเริงใจไร้ผู้ยับยั้ง ทำให้คุณแก่รวดแก่เร็ว จะไปให้ช่างสีเคาะโป๊วปิดรอยแก่รอยสนิมผ่าโน่นดึงนี่ให้ตรงไหนก็แก้ยากถ้าไม่แก้จากข้างใน การตรวจชนิดนี้จะทำให้คุณได้รู้ถึงสถานะของร่างกายตัวเองภายในและจะได้เป็นแนวทางให้แก้ไขตั้งแต่เนิ่นๆก่อนที่คุณจะเหลือแต่โครง

4) ตรวจพันธุกรรมหายีนส์ที่ผิดปกติที่จะทำให้เกิดแนวโน้มโรคต่างๆ เช่นถ้าคุณมีคนในครอบครัวเป็นมะเร็งอยู่หลายท่าน และคุณกลัวที่จะต้องเป็นมะเร็งซ้ำซากราวคำสาปอีกก็ควรจะต้องตรวจเรื่องของยีนส์มะเร็ง หรือกลัวว่าในอนาคตจะป้ำเป๋อกลายเป็นอัลไซเมอร์ก็ควรต้องตรวจยีนส์ที่เกี่ยวกับการเกิดโรคสมองเสื่อม โดยการตรวจยีนส์นี้เริ่มได้ในทุกอายุ แม้เด็กก็ตรวจได้ เพื่อที่จะได้รู้ตัวไว้ก่อนว่ามีความเสี่ยงอะไรบ้างเมื่อโตขึ้น

ช่วงอายุ(ปี)ระดับฮอร์โมนในร่างกายเริ่มลดลง(%)
25-3514%
35-4525%เริ่มมีความเสื่อมทางร่างกาย
45 ปีขึ้นไปเข้าสู่กระบวนการแก่อย่างเต็มตัว(Clinical phase of aging)

รูปที่ 3 ตารางแสดงระดับฮอร์โมนในร่างกายที่เริ่มลดลงตั้งแต่อายุ 25 ปีและลดต่ำลงเรื่อยๆ ตามอายุที่มากขึ้น

โดยการตรวจทั้งสี่ข้อนั้นสามารถตรวจได้ในทุกวัยและจะขอเน้นที่สุดคือถ้าคุณมีอายุตั้งแต่ 45 ปีเป็นต้นไปเพราะนั่นคือจุดเริ่มต้นของกระบวนการแก่อย่างเต็มที่แล้ว บางคนอาจสุกงอมตั้งแต่ 45 ปี หรือบางคนอาจไปสุกเอาเมื่อ 60 ปีก็เป็นได้ แต่จะต้องตรวจให้รู้แน่ว่าความเสื่อมในขณะที่ร่างกายเราเข้าสู่กระบวนการชรานั้นมีอะไรบ้างที่อยู่ในวิสัยที่จะแก้ไขได้ไม่ให้สุกงอมอมโรคแล้วทำให้แก้ยากจนเกินการณ์

ขอแต่อย่าไปมัวคิดว่ามันเป็นขาลงของชีวิตแล้วก็ปล่อยเลยตามเลย นั่นก็เป็นอวิชชาความประมาทอย่างหนึ่งเช่นกัน เพราะคุณสามารถที่จะสูงวัยอย่างมีคุณภาพได้อย่างที่ผมมักใช้คำว่า “Prolong active life” ได้ในทุกโรคทุกสภาวะครับ

ตรวจหา “แววแก่” ด้วยตัวคุณเอง
การตรวจเพื่อให้ “รู้ตัวก่อนแก่” อย่างละเอียดทั้งสี่ประการดังที่ได้กล่าวไปแล้วเป็นสิ่งที่ดีที่ละเอียดอย่างแน่นอนไม่ต้องสงสัย แต่ก่อนที่คุณจะได้พบหมอเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นั้นจะเป็นการดีไม่น้อยที่คุณจะได้ลองชิมลางตรวจร่างกายดูด้วยตัวเองสักหน่อย เผื่อปะเหมาะเจอความผิดปกติเล็กๆน้อยๆได้ด้วยตัวเองก่อนจะได้ไปปรึกษาคุณหมอได้ทันท่วงที เพราะเดี๋ยวนี้อะไรๆก็ต้องระวังกันแจไปหมด ชาวนาถือเคียวเกี่ยวข้าวอยู่วันดีคืนดีก็ต้องถือปืนไปเกี่ยวด้วยเพราะประเดี๋ยวพ่อเจ้าประคุณหัวขโมยเรารถเกี่ยวมาลากข้าวไปหมดไร่ ดังนี้เป็นต้น

ไม่เว้นแม้แต่คนอย่างเราๆ ท่านๆ นี้บางทีก็ยากที่จะรู้ว่าเราแก่จริงหรือไม่แก่จริง เพราะคนที่รักเราเขาก็จะว่ายังไม่แก่ เอาใจให้หนุ่มสาวขึ้นอีกหลายขุม แต่พอออกไปยิ้มแฮ่แผ่ตีนกาให้ใครเห็นเข้าเขาก็พาลซุบซิบว่าแก่จริงหนอให้แว่วลอยลมมาเข้าหู ดังนั้นถ้าเรารู้ตัวเสียก่อนว่าเข้าสู่กระบวนการชรากี่คืบกี่ศอกแล้วก็จะเป็นการรอบคอบดีไม่น้อย เรามาเริ่มสังเกตด้วยตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้ากันเลยครับ

1) เส้นผม ; ใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งคีบผมสักหนึ่งกระจุกเล็กตั้งแต่รากแล้วรูดมาจนถึงปลายด้วยแรงพอประมาณแล้วดูว่ามีเส้นผมหลุดติดออกมาด้วยเกิน 6 เส้นหรือไม่ และผมนั้นติดรากหรือไม่

2) รอบตา ; ดูว่าเริ่มมีถุงห้อยย้อยใต้ตานิดๆแบบโหงวเฮ้งผู้บริหารไหม มีรอยย่นละเอียดหรือรอยย่นหยาบที่หางตาหรือหัวตาหรือไม่ เพราะกล้ามเนื้อรอบตาเป็นกล้ามเนื้อที่ต้องทำงานหนักอยู่เสมอ

3) เปลือกตา ; ตื่นเช้ามามีเปลือกตาบวมไหม หรือดูเปลือกตาบวมแบบฉุๆอยู่ตลอดเวลาหรือไม่ซึ่งเป็นอาการแสดงของภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย มักพบบ่อยในผู้สูงวัย

4) เยื่อบุตา ; ลองกดรั้งเปลือกตาล่างลงมาดูเยื่อบุแดงๆข้างในว่ายังแดงดีอยู่หรือเป็นสีจางซีดซึ่งแสดงว่ามีภาวะโลหิตจางได้ โดยมากมักพบในผู้สูงอายุ หรือถ้าพบว่าเยื่อบุตามีสีเหลืองแบบพระสังข์ทองก็ต้องระวังภาวะตับผิดปกติทั้งหลายให้ดี
รูปที่ 4 สีผิวที่ผิดปกติสามารถบอกโรคได้ดังเช่นในกรณี “มนุษย์ผู้มีผิวกายสีน้ำเงิน” นี้เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจของการใช้ยาแผนโบราณที่เข้าแร่เงิน เช่นในผู้ป่วยโรคซิฟิลิสก่อนยุคที่มียาปฏิชีวนะศักยภาพสูง
5) กระจกตา ; ดูที่ตาดำว่ายังดำขลับปานดวงเนตรมฤคามฤคีอยู่หรือไม่ ถ้ามีวงแหวนสีขุ่นอยู่รอบตาก็อาจต้องระวังภาวะไขมันในเลือดสูงให้ดีครับเพราะวงแหวนที่ตาดำนี้เป็นวงไขมันกับโปรตีนที่มาเกาะติดแน่นอยู่ครับไม่ทำให้สายตาผิดปกติแต่เป็นตัวที่บอกว่าร่างกายเริ่มเข้าสู่กระบวนการชราแล้ว

รูปที่ 5 วงขาวที่ตาดำ(Arcus senilis)  หาใช่ลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่เป็นมงคลอย่างแมวไทยตาสีทั้งหลายไม่  หากแต่เกิดจากมีไขมันและโปรตีนมาเกาะซึ่ง เป็นสัญญาณของความชราประการหนึ่ง
6) ผิวหน้า; กดผิวดูแล้วปล่อยว่ายังคืนตัวกลับมาดีอยู่หรือไม่ แม้ว่าจะไม่เด้งดึ๋งประหนึ่งลูกชิ้นใส่บอแร็กซ์แต่ก็ถือได้ว่าเป็นผิวที่สุขภาพดี เพราะเมื่อแก่ตัวลงปริมาณของคอลลาเจนและอีลาสตินที่ผิวจะน้อยลง ไขมันจะมากขึ้นทำให้ไม่ยืดหยุ่นได้ใจอย่างแต่ก่อนครับ พร้อมกันนั้นให้ดูว่ามีตีนกาใหญ่น้อยมาเยี่ยมเยือนบ้างหรือยัง ซึ่งตีนกาประเภทนี้คงไม่ได้มีประโยชน์เหมือนตีนกาของเภสัชแผนไทยหากแต่จะทำให้คุณดูยับยู่ไม่สดชื่นสดใสวัยฮิปเหมือนแต่ก่อน
รูปที่ 6 “ผิวแก่” เกิดจากคอลลาเจนกับอีลาสตินซึ่งเป็นโครงให้ผิวตึงตัวและยืดหยุ่นดีนั้นมันถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ(โดยเฉพาะแดด) แล้วร่างกายสร้างไขมันมาแทนที่ทำให้เป็นรอยยับยู่ดูมัวหมองไม่ผ่องใสไร้ราคีเหมือนเมื่อวัยเยาว์
รูปที่ 7 ความผิดปกติบางอย่างอาจเห็นได้ชัดด้วยตาเช่นในกรณีของหญิงชราชาวจีนรายนี้ที่มี “เขา” งอกออกมาจากกลางหน้าผาก  ซึ่งสันนิษฐานว่าเกิดจากความผิดปกติในเรื่องของระบบต่อมไร้ท่อ
7) ร่องข้างจมูก; ถ้าผิวเริ่มแก่มากขึ้นก็จะเห็นร่อง(Nasolabial fold) ชัดขึ้น ถ้าเห็นชัดดีกว่าใครเขาก็อย่าเพิ่งตีโพยตีพายไปอาจปลอบใจตัวเองด้วยว่ามีโหงวเฮ้งดีมีหนวดมังกรให้เห็นเด่นสมกับเป็นผู้มีบุญ

8) รูขุมขน; ขยายใหญ่หยาบเห็นชัดขึ้น บางทีเห็นเหมือนผิวส้มหรือหนังเป็ด หนังไก่(แต่คงเป็นประเภทไก่ซีพีมากกว่าไก่ฟ้า)

9) จุดดำตามผิว ; บางทีเป็นจุดสีออกตั้งแต่เหลืองไปจนถึงดำเข้ม เกิดจากขยะอนุมูลอิสระที่ผิว ยิ่งแก่ตัวมากก็จะยิ่งมีมากขึ้น

10) คอ; ดูหนังใต้คอว่ามีย้อยลงมาด้วยแรงโน้มถ่วงโลกบวกกับปริมาณไขมันที่เข้าไปแทนที่มากขึ้นให้หย่อนย้วยหรือไม่

11) เล็บ; เวลาตัดเล็บให้ดูว่าเล็บมักไม่ขาดออกจากกันง่าย เหนียวจนต้องฉีกให้ขาดมีเลือดเข้าเลือดออกหรือไม่, เล็บมีดอกเล็กที่บริเวณโคนเล็บหรือไม่ ซึ่งสองอย่างนี้เป็นสัญญาณแสดงว่าสุขภาพเล็บเริ่มเสื่อมลงพร้อมกับขาดแร่ธาตุบางอย่างเช่น แคลเซียมและสังกะสี พร้อมดูรูปร่างเล็บว่าปกติงามดีสีสวยแม้ไม่ต้องงามถึงขั้นเบญจกัลป์ยานีแต่ให้ดูแล้วมันวาวพอควร ไม่เปราะฉีกง่ายก็ใช้ได้ครับ
รูปที่ 8 เล็บเป็นดอกขาว อาจเกิดจากการกระทบกระแทกหรือสัญญาณว่าเล็บเริ่มเสื่อมจากการขาดแร่ธาตุจำพวกสังกะสีหรือแคลเซียม
รูปที่ 9 “เล็บรูปช้อน” บางคนบุ๋มลงไปจนแทบใช้ต่างช้อนได้  เกิดจากการขาดธาตุเหล็กเรื้อรัง
12) หน้าท้อง ; วัดรอบเอวดูถ้าผู้ชายไม่ควรเกิน 36 นิ้ว ส่วนผู้หญิงไม่ควรเกิน 32 นิ้ว ส่วนดัชนีมวลกาย(BMI)ไม่ควรเกิน 25 กิโลกรัม/ตารางเมตรครับ

13) รูปกาย ; ขั้นตอนนี้คุณต้องมีกระจกบานสูงเท่าตัวสักบาน หรือไปขอแอบยืนส่องตามห้องลองเสื้อก็ได้ครับ โดยดูว่าคุณอ้วนแบบใด ถ้าอ้วนแบบดูป่องกลางก็ต้องระวังโรคหัวใจไว้ให้จงหนัก แต่ถ้าอ้วนแบบสะโพกใหญ่น่องยักษ์แต่พุงลีบหน่อยก็ไม่เป็นไรครับ อาจถือเป็นความอัครศักดิ์ภูมิฐานของท่านได้

14) หลอดเลือด; แม้จะไม่ได้ควานลงไปก็อาจรู้ได้ในบางท่าน โดยดูจากหลอดเลือดดำที่สีเขียวๆตามตัวนั่นแหละครับว่ามันมีลักษณะคดโค้งหงิกงอมากขึ้นไหม หรือเวลาเจาะเลือดแล้วเส้นเลือดดูเปราะแตกง่ายก็เป็นสัญญาณของหลอดเลือดแก่อีกประการหนึ่ง

15) กระดูก; ตื่นเช้ามีข้อติดหรือต้องตั้งหลักสักพักจึงจะขยับได้หรือไม่, เวลาเดินขึ้นลงบันไดมีเสียงกร็อบแกร็บจากข้อเข่าหรือมีเสียวข้อเข่าหรือไม่, หรือท่านเคยนำกระดูกไปประสบอุบัติเหตุถูกทำร้ายที่ใดบ้างหรือไม่เพราะบริเวณที่กระดูกเคยบาดเจ็บมักเป็นบริเวณที่จะเสื่อมเร็วก่อนเพื่อนครับ

16) สมอง ; คิดได้ช้าลง, ไม่ค่อยมีสมาธิ, ต้องใช้เวลานานขึ้นในการเรียนรู้, รู้สึกมึนศีรษะคล้ายเพลียไม่สดชื่น, อยากนอนแต่นอนแล้วก็ไม่รู้สึกสดชื่นเท่าที่เคย
   รูปที่ 10 หน้าบวมดูฉุ(รูปซ้าย) มีรอบตาบวม ถุงใต้ตาย้อย กินน้อยแต่อ้วนง่าย มีท้องอืดและง่วงเหงาหาวนอนบ่อย อาจเป็นสัญญาณของต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกแก่เร็วได้  แต่เมื่อรู้ก่อนแล้วรีบรักษาก็จะกลับมาเป็นปกติได้(รูปขวา)
นอกจากบัญญัติสิบหกประการนี้แล้วที่จริงก็ยังมีการตรวจร่างกายที่เป็นข้อปลีกย่อยน่าสนใจอีกมากเป็นต้นว่า ถ้าคุณขี้มักจะจามฟุดฟิดเวลาได้กลิ่นมิ้นท์หรือเวลาเคี้ยวหมากฝรั่งรสซ่านซ่าแสนอร่อยนั้นก็อาจชี้เป็นนัยว่าคุณมีภาวะภูมิแพ้ที่เยื่อบุจมูกอยู่ หรือรู้สึกปวดหน่วงก้นแทบทุกครั้งหลังกินอาหารรสจัดก็อาจเป็นสัญญาณกระซิบเตือนว่าคุณเริ่มมีริดสีดวงทวารหนักแล้ว

แต่ทั้งนี้สัญญาณแก่ทั้งหลายที่ผมเลือกหามาให้ท่านลองตรวจกันเองนั้นไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้ท่านขนลุก กระตุกใจโดยไม่จำเป็นหากแต่ต้องการให้ตื่นตัวกันขึ้นมาบ้างแล้วว่าเราเริ่มแก่รวดแก่เร็วแซงหน้าญาติโกท่านใดไปหรือเปล่า แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายใจให้ท่านตื่นตระหนกอกสั่นพลันหนีไปบวชชีพราหมณ์เสีย หรือพากันเอิกเกริกไปหามีดหมอเข็มหมอเสริมเติมแต่งให้สะดือหายหน้าท้องลายกันอีก ประเดี๋ยวสมองจะพาลหลั่งสารทุกข์เพื่อนยากคืออะดรีนาลีนออกมา และต่อมหมวกไตก็ช่วยหลั่งคอร์ติซอลออกมาให้หมออายุรวัฒน์ยิ่งเก็กซิมเข้าไปใหญ่

ถ้าคุณตรวจแล้วได้ผลออกมาว่าองคาพยพในร่างกายมากกว่าครึ่งในสิบหกประการนี้แก่ก็สามารถปรึกษาพูดคุยกับบุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์อายุรวัฒน์ได้ครับ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์, เภสัชกรหรือพยาบาลก็ได้ เพราะพวกเราคือคนที่คุยเรื่องการดูแลสุขภาพตามแนวธรรมชาติได้ครับ และถ้าคุณได้ดูแลสุขภาพให้ดีจากข้างในได้เต็มที่แล้วคุณก็ไม่ต้องพะวงกับสายตาของใครต่อใครเลย เพราะ Beauty is in the eye of the beholder ต่างหากเล่าครับ

เวชศาสตร์อายุรวัฒน์เปิดนวัตกรรมใหม่
ทางชีววิทยาศาสตร์ให้กับประเทศไทย


สิ่งที่ทำให้เวชศาสตร์อายุรวัฒน์เป็นศาสตร์การแพทย์ที่เติบโตเร็วที่สุดสาขาหนึ่งของโลกนั้นก็เนื่องจากการนำเทคโนโลยีทางการแพทย์แบบใหม่ล่าสุดที่เรียกว่าเป็น cutting edge technology ใหม่ชิดติดขอบก่อนหน้าใครในโลกมาใช้ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะให้ความสำคัญแต่เฉพาะกับเทคโนโลยีที่มีงานวิจัยรองรับแน่นหนาเพียงพอ

ในส่วนของไทยเวชศาสตร์อายุรวัฒน์ที่ผมได้วางรากฐานขึ้นมาในบ้านเรานั้นผมได้ผสานองค์ความรู้ของแพทย์แผนไทยเราที่ไม่น้อยหน้าใครในเรื่องของการรักษาโรคแบบองค์รวมทั้งกายและจิตใจ แล้วเมื่อได้รับการสนับสนุนด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยที่สุดได้แก่เรื่องของการตรวจฮอร์โมน, ตรวจสารต้านอนุมูลอิสระและตรวจยีนส์ จากศูนย์ความเป็นเลิศทางชีววิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยหรือ “ทีเซลส์(TCELS)” นั้นก็ทำให้การตรวจหาร่องรอยความแก่ชราเป็นไปอย่างสมบูรณ์พร้อมที่สุด

นอกจากนั้น ยังจะขอบอกเล่าเก้าสิบให้กับคุณผู้อ่านที่สนใจนวัตกรรมใหม่ๆทางด้านการต้านความชราไว้ด้วยว่าทางศูนย์ทีเซลส์ได้ร่วมกับสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ(International Anti-Aging Medicine Institute,IAAMI) ที่ผมเป็นผู้อำนวยการอยู่ทำการจัดนิทรรศการใหญ่ในช่วง 28-30 พฤษภาคมนี้ ซึ่งจะมีการเปิดตัวความก้าวหน้าทางด้านเวชศาสตร์อายุรวัฒน์ในประเทศไทย

นอกจากนั้นในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ก็จะมีงานใหญ่ระดับโลกอีกงานหนึ่งที่ทีเซลส์เป็นเจ้าภาพร่วมคืองาน “ไบโอเอเชีย 2008” ซึ่งจะจัดที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ โดยในงานนี้มีการเชิญนักพูดระดับโลกที่คุณผู้อ่านคงคุ้นชื่อคุ้นหูกันดีอย่าง คุณฮวน เอนริเก้ เจ้าของผลงาน “As the future catches you” โดยมีผมเป็นแพทย์ไทยตัวน้อยๆที่ได้มีโอกาสรับเชิญให้ไปพูดในหัวข้อ “Anti-Aging Medicine; Aiming toward prolong active life” ซึ่งผมจะได้นำเสนอเรื่องของ “ไทยอายุรวัฒน์” หรือแอนตี้เอจจิ้งเมดิซีนของไทยที่ผมได้จัดทำขึ้นให้เหมาะกับคนไทยเรา

จะได้เล่าให้กับบรรดานักวิทยาศาสตร์ที่มาประชุมในเวทีโลกครั้งนี้ได้เห็นว่าประเทศเราก็มีความก้าวหน้าทางด้านการต้านความชราไม่น้อยหน้าใคร แถมยังสมบูรณ์พร้อมด้วยเรื่องของการต้านความชราทางจิตใจ การฝึกจิต ออกกำลังใจที่มีมานานพร้อมๆกับวัฒนธรรมของชาวเอเชียเรา ซึ่งเรื่องทางจิตนี้แม้ว่าทางฝรั่งชาติตะวันตกจะได้ศึกษามาระยะหนึ่งแล้วแต่ก็หาได้ลึกซึ้งละเอียดอ่อนเท่าของเราไม่ อาจถือเป็นโอกาสที่จะได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ซึ่งกันและกันระหว่างเทคโนโลยีทางกายภาพของเขากับพุทโธโลยีของเราด้วย เพราะอย่างไรก็ตามท้ายสุดผู้ที่จะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ก็คือท่านผู้รักสุขภาพทั้งหลายนั่นเองครับ

นอกจากนั้นยังตั้งใจว่าจะนำเสนอเกี่ยวกับการใช้นวัตกรรมทางเวชศาสตร์อายุรวัฒน์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการตรวจฮอร์โมน ตรวจยีนส์ ร่วมกับโปรแกรมต้านความชราที่เรียกว่าไทยอายุรวัฒน์ที่ผมได้ริเริ่มขึ้นมาเพื่อยืดอายุขัยของมนุษย์ออกไปให้ยาวนานที่สุดพร้อมสุขภาพที่ดีไม่ว่าจะเจ็บป่วยมีโรคประจำตัวใดก็ตาม เพราะทุกคน ทุกวัยหรือแม้แต่ทุกโรคก็ล้วนมีสิทธิ์ที่จะมี “Active life” ช่วยเหลือตัวเองได้และมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ไม่ต้องนอนรอความช่วยเหลือแต่เพียงถ่ายเดียว แสดงให้เห็นได้ว่ามีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ตั้งแต่เกิด จนแก่ เจ็บ และตายได้อย่างสมบูรณ์พร้อมเท่าเทียมกันครับ

มหกรรมทางสุขภาพด้านการต้านความชราที่ใหญ่ที่สุดแห่งปีที่คุณจะได้พบกับแนวทางการคืนความหนุ่มสาวอย่างยั่งยืนที่สุดจาก นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้นำศาสตร์ไทยอายุรวัฒน์มาให้คนไทยทุกคน โดยศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ของประเทศไทยจัดขึ้น ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 28-30 พฤษภาคม 2551 สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-644-5499 หรือ www.tcels.or.th

งานวิชาการระดับนานาชาติไบโอเอเชีย 2008 ซึ่งจะได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญระดับโลกในสาขาต่างๆมาบรรยายและเปลี่ยนความเห็นกัน จะจัดที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ปลายปีนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น