สธ.เทิดทูนพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ เป็นต้นแบบเด็กไทยดื่มนมแม่ 100 เปอร์เซ็นต์ มีพัฒนาการเป็นเลิศ เนื่องในวโรกาสครบรอบวันประสูติ พระชันษาครบ 3 ปี ได้จัดพิมพ์โปสเตอร์พระฉายาลักษณ์พระองค์ที “นมแม่ดีที่หนึ่งเลย” แจกไปตามหน่วยงานต่างๆ ทั่วประเทศ จำนวน 500,000 แผ่น ปลุกกระแสคนไทยเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในยุคประหยัด ล่าสุดมีแม่ไทยเพียงร้อยละ 5 เลี้ยงลูกด้วยนมแม่นาน 6 เดือน ต่ำกว่าประเทศในเอเชีย 4-13 เท่าตัว สูญเงินซื้อนมปีละ 24,000 ล้านบาท
วันนี้ (25 เม.ย.) นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อธิบดีกรมอนามัย และคณะ แถลงข่าว “นมแม่ดีที่หนึ่งเลย” เนื่องในวันครบรอบวันประสูติพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ พระโอรสในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ
นายไชยา กล่าวว่า ในวันที่ 29 เมษายน 2551 เป็นวันครบรอบวันประสูติพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้า ทีปังกรรัศมีโชติ ทรงเจริญพระชันษาครบ 3 ปี กระทรวงสาธารณสุขได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระราชทานพระฉายาลักษณ์พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ ในท่าประทับยืน ชูพระดัชนีขวา สื่อคำว่า “นมแม่ดีที่หนึ่งเลย” ด้านบนภาพใช้คำว่า “นมแม่ คือหยดแรกของสายใยรักแห่งครอบครัว” ซึ่งเป็นพระราชดำรัส สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร จัดพิมพ์เป็นโปสเตอร์เพื่อเผยแพร่ ในโครงการสายใยรักแห่งครอบครัว ที่ทรงเป็นต้นแบบของเด็กไทยที่ได้รับการอภิบาลด้วยพระกษีรธาราหรือนมแม่จากพระมารดาตลอด 6 เดือน ทำให้มีพระพลานามัยแข็งแรงและทรงมีพัฒนาการยอดเยี่ยม
โดยได้จัดพิมพ์โปสเตอร์ทั้งหมด 500,000 ฉบับ แจกจ่ายไปยังสถานพยาบาลทั้งภาครัฐ-เอกชน อบต. เทศบาล ศูนย์อนามัย กทม. โรงงานขนาดใหญ่ สำนักงานประกันสังคม เพื่อสร้างกระแสสังคม ส่งเสริมให้คนไทยเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวนาน 6 เดือน ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันเป็นภาวะที่ทั่วโลกกำลังประสบวิกฤติราคาอาหาร-น้ำมันแพงขึ้นหลายเท่า ครอบครัวต้องอยู่ในภาวะรัดเข็มขัด การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นอกจากจะช่วยประหยัดรายจ่ายซื้อนมผงแล้ว นมแม่ยังเป็นหยดแรกของสายใยรักแห่งครอบครัว ให้ความรัก ความผูกพันระหว่างแม่ลูกที่อบอุ่น เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดในการสร้างลูกให้มีคุณภาพด้วย ขณะนี้องค์การอนามัยโลก และองค์การยูนิเชฟ มีนโยบายหนุนให้แม่ทุกคนทั่วโลกเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน
นายไชยา กล่าวต่อว่า ต่อปีมีหญิงไทยคลอดบุตรปีละ 800,000 คน จากผลสำรวจสถานการณ์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในไทยของกรมอนามัย ใน พ.ศ.2548 พบว่า แม่หลังคลอดเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 4 เดือน เพียงร้อยละ 21 ที่เหลือเลี้ยงนมผสมควบคู่ด้วย และผลสำรวจขององค์การยูนิเชฟในปีเดียวกัน พบแม่ไทยเลี้ยงด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน มีน้อยมากเพียงร้อยละ 5.4 หรือประมาณ 43,200 คน ส่งผลให้สติปัญญาเด็กไทยซึ่งเกี่ยวข้องกับการเลี้ยงดู พันธุกรรมและอาหาร มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 88-91 จุด ต่ำกว่ามาตรฐานสากลที่กำหนดไว้คือ 90-110 จุด โดยพบมีเด็กพัฒนาการล่าช้าร้อยละ 15-28 หรือประมาณ 2 แสนกว่าคน ซึ่งแต่ละปีแม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อนมผงให้ลูกเดือนละประมาณ 2,500 บาทต่อคน หรือปีละ 30,000 บาท และหากเด็กที่เกิดใหม่ 800,000 คนกินนมผง จะมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 24,000 ล้านบาทต่อปี
ทั้งนี้ เมื่อเทียบอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนของแม่ไทย ที่มีเพียงร้อยละ 5.4 กับกลุ่มประเทศในแถบเอเชียด้วยกันพบว่าไทยต่ำกว่า 4-13 เท่าตัว โดยเกาหลีมีอัตราการเลี้ยงนมแม่สูงถึงร้อยละ 65 เขมรร้อยละ 60 จีนร้อยละ 48 ฟิลิปปินส์ร้อยละ 34 ติมอร์ร้อยละ 31 เวียดนามร้อยละ 19 การเลี้ยงลูกของคนไทยส่วนใหญ่กินนมแม่ร่วมกับอาหารอื่นด้วย โดยเลี้ยงนมแม่ร่วมกับอาหารอื่นนาน 6-9 เดือน ร้อยละ 44 กินนมแม่ร่วมกับอาหารอื่น 1 ปี ร้อยละ 31 กินนมแม่ร่วมกับอาหารอื่นนาน 2 ปี ร้อยละ 19 โดยมีเด็กไม่เคยกินนมแม่เลยร้อยละ 15 หรือประมาณ 120,000 คน ซึ่งมาสาเหตุจากแม่ติดเชื้อเอดส์ ไวรัสตับอักเสบบี เด็กขาดเอ็นไซม์ย่อยโปรตีนในนมแม่
นายแพทย์ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขสนองพระปณิธานอันแน่วแน่ของ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ที่ส่งเสริมการเลี้ยงดูด้วยนมแม่ ได้จัดทำโรงพยาบาลสายใยรักแห่งครอบครัว ให้โรงพยาบาลในสังกัดกว่า 800 แห่งทั่วประเทศและโรงพยาบาลเอกชน พัฒนาบริการงานอนามัยแม่และเด็ก ตั้งแต่ระยะตั้งครรภ์จนถึงหลังคลอด ให้ครอบครัว ชุมชน มีส่วนร่วม โดยให้สถานพยาบาลทุกระดับตั้งคลินิกนมแม่ มี “แม่นม” หรือ “มิสนมแม่” หรือ “ผู้เชี่ยวชาญนมแม่” ประจำทุกโรงพยาบาล เพื่อให้ความช่วยเหลือหญิงให้นมบุตรอย่างต่อเนื่อง และตั้ง “ชมรมนมแม่” หรือ “ชมรมสายใยรักแห่งครอบครัว” อย่างน้อยโรงพยาบาลละ 1 ชมรม ให้แม่มือเก่าสอนแม่มือใหม่ให้สามารถเลี้ยงลูกเป็น
โดยในปี 2551 ตั้งเป้าให้หญิงหลังคลอดเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวนาน 6 เดือนให้ได้ร้อยละ 30 ลดปัญหาทารกแรกเกิดขาดออกซิเจนไม่เกิน 30 ต่อพันการเกิดมีชีพ ทารกแรกเกิดน้ำหนักน้อยกว่า 2,500 กรัม ไม่เกินร้อยละ 8 และเด็กแรกเกิด-5 ปี มีพัฒนาการสมวัยร้อยละ 90 หากแม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวนาน 6 เดือน จะลดค่าใช้จ่ายซื้อนมผงได้ 3,600 ล้านบาท
ด้าน นายแพทย์ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า น้ำนมแม่มีสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด มีไขมันที่ช่วยในการพัฒนาเซลสมอง ซึ่งมีประมาณ 1 แสนล้านตัว ให้ทำงานประสานเชื่อมโยงกัน จัดเป็นอาหารที่ดีที่สุดของทารก ไม่สามารถเลียนแบบได้ โดยเฉพาะน้ำนมที่ออกมาครั้งแรกจะมีลักษณะเหลืองใส เป็นนมหยดแรกที่มีคุณค่ามากที่สุด มีโปรตีนมากกว่าน้ำนมปกติถึง 3 เท่า และมีภูมิคุ้มกันโรค เป็นวัคซีนสำเร็จรูปที่ได้จากแม่ ลดการป่วยจากท้องเสีย ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ โรคภูมิแพ้ โรคเบาหวาน ดีกว่าเด็กที่กินนมผสม 2-7 เท่าตัว มีผลงานวิจัยยืนยันว่าเด็กที่กินนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน โดยไม่ให้น้ำและอาหารอื่น จะมีค่าเฉลี่ยระดับเชาว์ปัญญาหรือไอคิว (IQ) มากกว่าเด็กที่ไม่ได้กินนมแม่อย่างเดียว 2-11 จุด เด็กไม่ป่วยบ่อย ไม่เสียเวลาเจริญเติบโต เพราะการเจ็บป่วยแต่ละครั้งจะทำให้การเจริญเติบโตของเด็กหยุดชะงัก
วันนี้ (25 เม.ย.) นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อธิบดีกรมอนามัย และคณะ แถลงข่าว “นมแม่ดีที่หนึ่งเลย” เนื่องในวันครบรอบวันประสูติพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ พระโอรสในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ
นายไชยา กล่าวว่า ในวันที่ 29 เมษายน 2551 เป็นวันครบรอบวันประสูติพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้า ทีปังกรรัศมีโชติ ทรงเจริญพระชันษาครบ 3 ปี กระทรวงสาธารณสุขได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระราชทานพระฉายาลักษณ์พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ ในท่าประทับยืน ชูพระดัชนีขวา สื่อคำว่า “นมแม่ดีที่หนึ่งเลย” ด้านบนภาพใช้คำว่า “นมแม่ คือหยดแรกของสายใยรักแห่งครอบครัว” ซึ่งเป็นพระราชดำรัส สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร จัดพิมพ์เป็นโปสเตอร์เพื่อเผยแพร่ ในโครงการสายใยรักแห่งครอบครัว ที่ทรงเป็นต้นแบบของเด็กไทยที่ได้รับการอภิบาลด้วยพระกษีรธาราหรือนมแม่จากพระมารดาตลอด 6 เดือน ทำให้มีพระพลานามัยแข็งแรงและทรงมีพัฒนาการยอดเยี่ยม
โดยได้จัดพิมพ์โปสเตอร์ทั้งหมด 500,000 ฉบับ แจกจ่ายไปยังสถานพยาบาลทั้งภาครัฐ-เอกชน อบต. เทศบาล ศูนย์อนามัย กทม. โรงงานขนาดใหญ่ สำนักงานประกันสังคม เพื่อสร้างกระแสสังคม ส่งเสริมให้คนไทยเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวนาน 6 เดือน ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันเป็นภาวะที่ทั่วโลกกำลังประสบวิกฤติราคาอาหาร-น้ำมันแพงขึ้นหลายเท่า ครอบครัวต้องอยู่ในภาวะรัดเข็มขัด การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นอกจากจะช่วยประหยัดรายจ่ายซื้อนมผงแล้ว นมแม่ยังเป็นหยดแรกของสายใยรักแห่งครอบครัว ให้ความรัก ความผูกพันระหว่างแม่ลูกที่อบอุ่น เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดในการสร้างลูกให้มีคุณภาพด้วย ขณะนี้องค์การอนามัยโลก และองค์การยูนิเชฟ มีนโยบายหนุนให้แม่ทุกคนทั่วโลกเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน
นายไชยา กล่าวต่อว่า ต่อปีมีหญิงไทยคลอดบุตรปีละ 800,000 คน จากผลสำรวจสถานการณ์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในไทยของกรมอนามัย ใน พ.ศ.2548 พบว่า แม่หลังคลอดเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 4 เดือน เพียงร้อยละ 21 ที่เหลือเลี้ยงนมผสมควบคู่ด้วย และผลสำรวจขององค์การยูนิเชฟในปีเดียวกัน พบแม่ไทยเลี้ยงด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน มีน้อยมากเพียงร้อยละ 5.4 หรือประมาณ 43,200 คน ส่งผลให้สติปัญญาเด็กไทยซึ่งเกี่ยวข้องกับการเลี้ยงดู พันธุกรรมและอาหาร มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 88-91 จุด ต่ำกว่ามาตรฐานสากลที่กำหนดไว้คือ 90-110 จุด โดยพบมีเด็กพัฒนาการล่าช้าร้อยละ 15-28 หรือประมาณ 2 แสนกว่าคน ซึ่งแต่ละปีแม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อนมผงให้ลูกเดือนละประมาณ 2,500 บาทต่อคน หรือปีละ 30,000 บาท และหากเด็กที่เกิดใหม่ 800,000 คนกินนมผง จะมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 24,000 ล้านบาทต่อปี
ทั้งนี้ เมื่อเทียบอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนของแม่ไทย ที่มีเพียงร้อยละ 5.4 กับกลุ่มประเทศในแถบเอเชียด้วยกันพบว่าไทยต่ำกว่า 4-13 เท่าตัว โดยเกาหลีมีอัตราการเลี้ยงนมแม่สูงถึงร้อยละ 65 เขมรร้อยละ 60 จีนร้อยละ 48 ฟิลิปปินส์ร้อยละ 34 ติมอร์ร้อยละ 31 เวียดนามร้อยละ 19 การเลี้ยงลูกของคนไทยส่วนใหญ่กินนมแม่ร่วมกับอาหารอื่นด้วย โดยเลี้ยงนมแม่ร่วมกับอาหารอื่นนาน 6-9 เดือน ร้อยละ 44 กินนมแม่ร่วมกับอาหารอื่น 1 ปี ร้อยละ 31 กินนมแม่ร่วมกับอาหารอื่นนาน 2 ปี ร้อยละ 19 โดยมีเด็กไม่เคยกินนมแม่เลยร้อยละ 15 หรือประมาณ 120,000 คน ซึ่งมาสาเหตุจากแม่ติดเชื้อเอดส์ ไวรัสตับอักเสบบี เด็กขาดเอ็นไซม์ย่อยโปรตีนในนมแม่
นายแพทย์ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขสนองพระปณิธานอันแน่วแน่ของ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ที่ส่งเสริมการเลี้ยงดูด้วยนมแม่ ได้จัดทำโรงพยาบาลสายใยรักแห่งครอบครัว ให้โรงพยาบาลในสังกัดกว่า 800 แห่งทั่วประเทศและโรงพยาบาลเอกชน พัฒนาบริการงานอนามัยแม่และเด็ก ตั้งแต่ระยะตั้งครรภ์จนถึงหลังคลอด ให้ครอบครัว ชุมชน มีส่วนร่วม โดยให้สถานพยาบาลทุกระดับตั้งคลินิกนมแม่ มี “แม่นม” หรือ “มิสนมแม่” หรือ “ผู้เชี่ยวชาญนมแม่” ประจำทุกโรงพยาบาล เพื่อให้ความช่วยเหลือหญิงให้นมบุตรอย่างต่อเนื่อง และตั้ง “ชมรมนมแม่” หรือ “ชมรมสายใยรักแห่งครอบครัว” อย่างน้อยโรงพยาบาลละ 1 ชมรม ให้แม่มือเก่าสอนแม่มือใหม่ให้สามารถเลี้ยงลูกเป็น
โดยในปี 2551 ตั้งเป้าให้หญิงหลังคลอดเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวนาน 6 เดือนให้ได้ร้อยละ 30 ลดปัญหาทารกแรกเกิดขาดออกซิเจนไม่เกิน 30 ต่อพันการเกิดมีชีพ ทารกแรกเกิดน้ำหนักน้อยกว่า 2,500 กรัม ไม่เกินร้อยละ 8 และเด็กแรกเกิด-5 ปี มีพัฒนาการสมวัยร้อยละ 90 หากแม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวนาน 6 เดือน จะลดค่าใช้จ่ายซื้อนมผงได้ 3,600 ล้านบาท
ด้าน นายแพทย์ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า น้ำนมแม่มีสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด มีไขมันที่ช่วยในการพัฒนาเซลสมอง ซึ่งมีประมาณ 1 แสนล้านตัว ให้ทำงานประสานเชื่อมโยงกัน จัดเป็นอาหารที่ดีที่สุดของทารก ไม่สามารถเลียนแบบได้ โดยเฉพาะน้ำนมที่ออกมาครั้งแรกจะมีลักษณะเหลืองใส เป็นนมหยดแรกที่มีคุณค่ามากที่สุด มีโปรตีนมากกว่าน้ำนมปกติถึง 3 เท่า และมีภูมิคุ้มกันโรค เป็นวัคซีนสำเร็จรูปที่ได้จากแม่ ลดการป่วยจากท้องเสีย ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ โรคภูมิแพ้ โรคเบาหวาน ดีกว่าเด็กที่กินนมผสม 2-7 เท่าตัว มีผลงานวิจัยยืนยันว่าเด็กที่กินนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน โดยไม่ให้น้ำและอาหารอื่น จะมีค่าเฉลี่ยระดับเชาว์ปัญญาหรือไอคิว (IQ) มากกว่าเด็กที่ไม่ได้กินนมแม่อย่างเดียว 2-11 จุด เด็กไม่ป่วยบ่อย ไม่เสียเวลาเจริญเติบโต เพราะการเจ็บป่วยแต่ละครั้งจะทำให้การเจริญเติบโตของเด็กหยุดชะงัก