คณะกรรมการกฤษฎีกาปัดตีความกรณี “อภิรักษ์” ทุจริตรถดับเพลิงเข้าข่ายกฎหมาย ป.ป.ช.มาตรา 55 หรือไม่ แต่แนะให้สอบถามมหาดไทยแทน เพราะเป็นหน่วยงานที่ดูแล กทม.ขณะที่ ผอ.สำนักงานกฎหมายฯ กทม.เผยขอหารือกับคณะผู้บริหารก่อน
หลังจากที่สำนักงานกฎหมายและคดี กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้ส่งหนังสือสอบถามไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาอย่างเร่งด่วน เมื่อวันที่ 14 มี.ค.ที่ผ่านมา เพื่อให้ช่วยตีความว่าประกาศการยุติการปฏิบัติหน้าที่ผู้ว่าฯ กทม.ของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ภายหลังที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) มีมติแจ้งข้อกล่าวหากับนายอภิรักษ์ ในคดีทุจริตโครงการจัดซื้อรถ-เรือ และอุปกรณ์ดับเพลิงของกทม.ซึ่งได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง และอาจมีปัญหาในข้อกฎหมายภายหลังเพราะ นายอภิรักษ์ อาจเข้าข่ายพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 ตามมาตรา 55 ดังนั้น นายอภิรักษ์ จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที ส่วนผู้แทนฝ่ายการเมืองที่ได้รับมอบอำนาจนั้นก็จะไม่สามารถใช้อำนาจได้เช่นกัน เพราะได้รับการแต่งตั้งมาจาก นายอภิรักษ์ ดังนั้น หากนายวัลลภ สุวรรณดี รองผู้ว่าฯ กทม. รักษาการผู้ว่าฯ กทม.เซ็นอนุมัติโครงการใดๆ ก็จะถือว่าเป็นโมฆะ จึงทำให้งานของ กทม.ต้องหยุดชะงักนั้น
นายกฤษฎา กลันทานนท์ ผู้อำนวยการสำนักงานกฎหมายและคดี กทม.เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีนี้ ว่า จากที่สำนักงานกฎหมายได้ส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความว่ามาตรา 55 จะเข้าข่ายกรณีของผู้ว่าฯอภิรักษ์ หรือไม่ เพราะ คตส.ได้นำกฎหมายของ ป.ป.ช.มาใช้ และถ้าเข้าข่ายรองผู้ว่าฯ กทม.หรือปลัด กทม.ใครจะสามารถทำหน้าที่แทนได้ นั้น ล่าสุด คณะกรรมการกฤษฎีกาได้ส่งหนังสือตอบกลับมาแล้วว่าให้ กทม.ไปหารือกับกระทรวงมหาดไทยโดยตรงในฐานะที่กำกับดูแล กทม.ส่วนข้อหารือที่ กทม.ได้สอบถามไปนั้น คณะกรรมการกฤษฎีกาไม่ได้ตอบในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ข้อแนะนำที่คณะกรรมการกฤษฎีกาแนะนำนั้น สำนักงานกฎหมายฯต้องนำมาหารือกับคณะผู้บริหารเป็นการภายในก่อนที่จะมีการส่งหนังสือไปหารือที่มหาดไทย
หลังจากที่สำนักงานกฎหมายและคดี กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้ส่งหนังสือสอบถามไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาอย่างเร่งด่วน เมื่อวันที่ 14 มี.ค.ที่ผ่านมา เพื่อให้ช่วยตีความว่าประกาศการยุติการปฏิบัติหน้าที่ผู้ว่าฯ กทม.ของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ภายหลังที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) มีมติแจ้งข้อกล่าวหากับนายอภิรักษ์ ในคดีทุจริตโครงการจัดซื้อรถ-เรือ และอุปกรณ์ดับเพลิงของกทม.ซึ่งได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง และอาจมีปัญหาในข้อกฎหมายภายหลังเพราะ นายอภิรักษ์ อาจเข้าข่ายพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 ตามมาตรา 55 ดังนั้น นายอภิรักษ์ จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที ส่วนผู้แทนฝ่ายการเมืองที่ได้รับมอบอำนาจนั้นก็จะไม่สามารถใช้อำนาจได้เช่นกัน เพราะได้รับการแต่งตั้งมาจาก นายอภิรักษ์ ดังนั้น หากนายวัลลภ สุวรรณดี รองผู้ว่าฯ กทม. รักษาการผู้ว่าฯ กทม.เซ็นอนุมัติโครงการใดๆ ก็จะถือว่าเป็นโมฆะ จึงทำให้งานของ กทม.ต้องหยุดชะงักนั้น
นายกฤษฎา กลันทานนท์ ผู้อำนวยการสำนักงานกฎหมายและคดี กทม.เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีนี้ ว่า จากที่สำนักงานกฎหมายได้ส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความว่ามาตรา 55 จะเข้าข่ายกรณีของผู้ว่าฯอภิรักษ์ หรือไม่ เพราะ คตส.ได้นำกฎหมายของ ป.ป.ช.มาใช้ และถ้าเข้าข่ายรองผู้ว่าฯ กทม.หรือปลัด กทม.ใครจะสามารถทำหน้าที่แทนได้ นั้น ล่าสุด คณะกรรมการกฤษฎีกาได้ส่งหนังสือตอบกลับมาแล้วว่าให้ กทม.ไปหารือกับกระทรวงมหาดไทยโดยตรงในฐานะที่กำกับดูแล กทม.ส่วนข้อหารือที่ กทม.ได้สอบถามไปนั้น คณะกรรมการกฤษฎีกาไม่ได้ตอบในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ข้อแนะนำที่คณะกรรมการกฤษฎีกาแนะนำนั้น สำนักงานกฎหมายฯต้องนำมาหารือกับคณะผู้บริหารเป็นการภายในก่อนที่จะมีการส่งหนังสือไปหารือที่มหาดไทย
