กรมการจัดหางานเตือนคนงานไทยที่เข้าไปทำงานในประเทศมาเลเซียให้ระวังถูกนายจ้างชาวมาเลเซียหลอกลวง หรือเอาเปรียบ เนื่องจากปัจจุบันมีคนงานไทยร้องทุกข์ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม จากนายจ้างชาวมาเลเซียเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
นายมนูญ ปุญญกริยากร อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2550 เป็นต้นมา เริ่มมีคนงานไทยหลายราย ซึ่งส่วนใหญ่เดินทางไปทำงานด้วยตนเอง แจ้งข้อร้องทุกข์ว่าถูกเอารัดเอาเปรียบและไม่ได้รับความเป็นธรรมจากนายจ้างมาเลเซีย โดยนายจ้างมีวิธีการหลายรูปแบบ อาทิ นายจ้างเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเพื่อรับสมัครคนงาน โดยอ้างสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจและความน่าเชื่อถือ เมื่อคนงานไทยหลงเชื่อเดินทางไปทำงาน ก็จะถูกเก็บหนังสือเดินทางโดยอ้างว่าจะนำไปขอวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน และเก็บค่าภาษีในการทำงานที่เกินกว่ากฎหมายกำหนด รวมทั้งผลักภาระค่าใช้จ่ายเงินประกันมาให้ หากคนงานไทยทำงานไม่ครบตามกำหนดสัญญาก็จะถูกเรียกร้องให้ชดใช้ค่าทำวีซ่า อีกรูปแบบหนึ่งเป็นการชักชวนให้เดินทางเข้าไปทำงานในประเทศมาเลเซียในตำแหน่งต่าง ๆ อาทิ พนักงานนวด กรรมกรก่อสร้าง นักดนตรี เชฟ หรือกุ๊ก โดยให้ทดลองงาน และห้ามออกนอกสถานที่ทำงาน โดยขู่ว่า จะมีความผิดถูกส่งตัวกลับประเทศไทย หรืออาจใช้วิธีการประกาศรับสมัครงานผ่านทางอินเทอร์เน็ต โดยระบุข้อมูลที่เกี่ยวกับการไปทำงาน เช่น นายจ้างจะออกค่าใช้จ่ายวีซ่าทำงานและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้เพื่อจูงใจ ซึ่งในกรณีนี้คนหางานจะไม่สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงได้
นายมนูญ กล่าวว่า ทางการมาเลเซียกำหนดให้แรงงานต่างชาติที่ทำงานในตำแหน่งพนักงานนวดต้องเสียค่าภาษีในการทำงานจำนวน 1,800 ริงกิต และนายจ้างต้องจ่ายเงินค่าประกันแทนแรงงานต่างชาติ สามารถขอคืนได้เมื่อสิ้นสุดสัญญาจ้างหรือยกเลิกวีซ่าทำงาน แต่นายจ้างหลายรายไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย และผลักภาระค่าใช้จ่ายและภาษีมาให้คนงานไทยรับผิดชอบแทน ดังนั้น ก่อนเดินทางไปทำงาน ควรไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจไปทำงาน โดยเฉพาะกฎหมายของประเทศมาเลเซีย เพื่อไม่ให้กระทำผิดกฎหมาย หรือถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้างประเทศดังกล่าว สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักจัดหางานกรุงเทพเขตพื้นที่ 1-10 และสำนักงานบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรมการจัดหางาน โทร. 02 272 2909 หรือสายด่วน 1694
นายมนูญ ปุญญกริยากร อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2550 เป็นต้นมา เริ่มมีคนงานไทยหลายราย ซึ่งส่วนใหญ่เดินทางไปทำงานด้วยตนเอง แจ้งข้อร้องทุกข์ว่าถูกเอารัดเอาเปรียบและไม่ได้รับความเป็นธรรมจากนายจ้างมาเลเซีย โดยนายจ้างมีวิธีการหลายรูปแบบ อาทิ นายจ้างเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเพื่อรับสมัครคนงาน โดยอ้างสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจและความน่าเชื่อถือ เมื่อคนงานไทยหลงเชื่อเดินทางไปทำงาน ก็จะถูกเก็บหนังสือเดินทางโดยอ้างว่าจะนำไปขอวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน และเก็บค่าภาษีในการทำงานที่เกินกว่ากฎหมายกำหนด รวมทั้งผลักภาระค่าใช้จ่ายเงินประกันมาให้ หากคนงานไทยทำงานไม่ครบตามกำหนดสัญญาก็จะถูกเรียกร้องให้ชดใช้ค่าทำวีซ่า อีกรูปแบบหนึ่งเป็นการชักชวนให้เดินทางเข้าไปทำงานในประเทศมาเลเซียในตำแหน่งต่าง ๆ อาทิ พนักงานนวด กรรมกรก่อสร้าง นักดนตรี เชฟ หรือกุ๊ก โดยให้ทดลองงาน และห้ามออกนอกสถานที่ทำงาน โดยขู่ว่า จะมีความผิดถูกส่งตัวกลับประเทศไทย หรืออาจใช้วิธีการประกาศรับสมัครงานผ่านทางอินเทอร์เน็ต โดยระบุข้อมูลที่เกี่ยวกับการไปทำงาน เช่น นายจ้างจะออกค่าใช้จ่ายวีซ่าทำงานและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้เพื่อจูงใจ ซึ่งในกรณีนี้คนหางานจะไม่สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงได้
นายมนูญ กล่าวว่า ทางการมาเลเซียกำหนดให้แรงงานต่างชาติที่ทำงานในตำแหน่งพนักงานนวดต้องเสียค่าภาษีในการทำงานจำนวน 1,800 ริงกิต และนายจ้างต้องจ่ายเงินค่าประกันแทนแรงงานต่างชาติ สามารถขอคืนได้เมื่อสิ้นสุดสัญญาจ้างหรือยกเลิกวีซ่าทำงาน แต่นายจ้างหลายรายไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย และผลักภาระค่าใช้จ่ายและภาษีมาให้คนงานไทยรับผิดชอบแทน ดังนั้น ก่อนเดินทางไปทำงาน ควรไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจไปทำงาน โดยเฉพาะกฎหมายของประเทศมาเลเซีย เพื่อไม่ให้กระทำผิดกฎหมาย หรือถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้างประเทศดังกล่าว สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักจัดหางานกรุงเทพเขตพื้นที่ 1-10 และสำนักงานบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรมการจัดหางาน โทร. 02 272 2909 หรือสายด่วน 1694
