หนังสือพิมพ์สากล / รอยเตอร์ – เพื่อที่จะส่งเสริมนักลงทุนจากต่างชาติให้มาทำงานและลงทุนที่ไต้หวันมากขึ้น ทางการไต้หวันจึงได้เปิดนโยบายให้สามารถยื่นคำร้องขอเข้าพักระยะยาวได้เมื่อมาลงทุนในวงเงินระดับหนึ่ง อีกทั้งลดเพดานระยะเวลาสำหรับผู้ทีจะขอยื่นคำร้องลง และเริ่มให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. นอกจากนั้นครม.ไต้หวันยังมีมติให้ QDII จากจีนสามารถข้ามฝั่งมาลงทุนได้
โดยมาตรการว่าด้วยการยื่นคำร้องของพักอาศัยถาวรนั้น จะแบ่งเป็น 2 กรณี หนึ่งคือผู้ที่ถือสัญชาติอื่นแล้วมาลงทุนในไต้หวันมากกว่า 30 ล้านเหรียญไต้หวัน กับสองคือการที่ชาวต่างชาติได้นำเงินมาฝากไว้ในสถาบันการเงินที่ทางการกำหนดมากกว่า 30 ล้านเหรียญไต้หวันขึ้นไป ก็มีโอกาสที่จะได้รับสิทธิ์ในการอยู่ในไต้หวันถาวร
หลิว เปี่ยวจากกรมตรวจคนเข้าเมืองได้ระบุว่า เดิมสำหรับผู้ที่จะขออยู่ถาวรนั้น โดยทั่วไปจะต้องพักอยู่ในไต้หวันเป็นเวลา 7 ปีเต็ม จึงจะสามารถยื่นเรื่องได้ มาตรการใหม่ที่ออกมานั้นเป็นการออกมาเพื่อยกระดับความพอใจในการมาลงทุนในไต้หวัน จึงได้กำหนดคุณสมบัติเหลือเพียง 3 ปีกับ 5 ปีเท่านั้น
ดังนั้นในอนาคต ชาวต่างชาติที่มาลงทุนเกิน 30 ล้านเหรียญไต้หวันและสามารถทำธุรกิจที่มีการจ้างงานมากกว่า 5 คนเป็นเวลา 3 ปีขึ้นไป หรือฝากเงินไว้ในสถาบันการเงินที่ทางการกำหนดครบ 5 ปี บุคคลผู้นั้น คู่สมรสและบุตรธิดาที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะก็สามารถยื่นคำร้องขอพักในไต้หวันถาวรได้
ส่วนการเปิดกว้างขึ้นสำหรับคนที่เข้ามาทำงานแล้วจะขออยู่ถาวรนั้น แต่เดิมจากที่จะต้องพักอาศัยครบ 7 ปีเต็มก็ลดเหลือ 5 ปี โดยแต่ละปีจะต้องใช้ชีวิตอยู่ในไต้หวันมากกว่า 183 วัน ส่วนคุณสมบัติของผู้ที่ยื่นคำร้องยังเหมือนเดิมคือจะต้องอายุ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป แล้วเป็นชาวต่างชาติที่ทำงานในระดับบริหาร
นอกจากนั้นจู หยุนเผิงเจ้าหน้าที่รัฐของไต้หวันได้เปิดเผยอีกว่า เพื่อที่จะดึงดูดบุคลากรชาวต่างชาติ ทางรัฐบาลจึงได้เข็นมาตรการการอยู่ถาวร และบัตรวีซ่าทำงาน 3 ปีออกมา เพื่อให้ชาวต่างชาติสามารถเข้ามาทำงานเฉพาะด้านได้โดยไม่ต้องมีวีซ่าเป็นเวลา 3 ปี
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของไต้หวันได้เปิดเผยว่า ในคณะรัฐมนตรีได้มีการพูดถึงการสร้างบุคลากร และมีแนวทางที่ในอนาคตนั้นไม่เพียงแต่จะดึงดูดบุคลากรจากต่างชาติเท่านั้น แต่จะยังเปิดกว้างเพื่อดูดบุคลากรจากแผ่นดินใหญ่เข้ามาในไต้หวันด้วย
ในขณะที่ประธานกิตติมศักดิ์ของบริษัทนายหน้าแห่งหนึ่งได้เปิดเผยว่า นโยบายใหม่ของรัฐที่ได้ประกาศออกมานั้น ยังมีเพดานของจำนวนเงินที่สูงมากอยู่ เพราะในสหรัฐนั้นตั้งไว้ที่เพียง 500,000 ดอลลาร์ หรือราว 15 ล้านเหรียญไต้หวัน ในขณะที่ฮ่องกงอยู่ที่ 6.5 ล้านเหรียญฮ่องกง หรือราว 27 ล้านเหรียญไต้หวัน ดังนั้นอาจจะทำให้นักลงทุนหลายคนอยากจะไปอยู่ที่สหรัฐฯมากกว่า
นอกจากนั้น ในวันพฤหัสบดี (31 ก.ค.) คณะรัฐมนตรีไต้หวันยังได้มีมติ เปิดกว้างการลงทุนจากแผ่นดินใหญ่โดยผ่าน สถาบันในประเทศที่มีคุณสมบัติไปลงทุนในตลาดต่างประเทศ หรือ QDII เพื่อมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์หรือตลาดซื้อขายล่วงหน้าในไต้หวัน แต่ก่อนที่ทั้งสองฝั่งจะมีการลงนามความร่วมมืออย่างเป็นทางการนั้น จะจำกัดเพดานการลงทุนให้อยู่ที่ไม่เกิน 3% ของมูลค่าสุทธิของกองทุน
โดยในเอกสารแถลงข่าวของคณะรัฐมนตรีได้เปิดเผยว่า หลังจากมีการเปิดกว้างครั้งนี้แล้ว ยอดลงทุนผ่าน QDII จะเพิ่มขึ้นเป็น 33,750 ล้านเหรียญไต้หวัน และในอนาคตทางรัฐบาลจะเร่งผลักดันการลงนามในหนังสือความเข้าใจร่วม MOU ระหว่างสองฟากฝั่ง และหากลุล่วงเมื่อไหร่ยอดการลงทุนก็จะสามารถขยับเพิ่มขึ้นได้อีกขั้นหนึ่ง