แม้ว่าอากาศจะเปลี่ยนแปลงบ่อย แต่ที่ยืนพื้นสำหรับบ้านเราในขณะนี้ คือ ความร้อนและแสงแดดที่นับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกที ร้อนจนน่าหงุดหงิดแบบนี้หลายคนจึงหาโอกาสไปคลายร้อนแถวชายทะเล ยิ่งทำให้มีโอกาสโดนแดดสูง ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ออกมาเตือนว่า การโดนแสงแดดมากเกินไปทำให้เกิดผลเสียต่อผิวหนังได้
นพ.ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาโรคผิวหนัง ระบุว่า แสงแดดมีผลเสียต่อผิวหนัง โดยแบ่งผลที่เกิดขึ้นออกมา 2 ประเภท คือ ผลเสียที่เกิดขึ้นทันที โดยแสงแดดจะส่งผลทันทีโดยทำให้เกิดโรคผิวหนัง 40 โรค เช่น ผิวไหม้แดด ผิวคล้ำลง โรค SLE ที่มีอาการปวดข้อ และมีผื่นแดงรูปผีเสื้อ สิวบางชนิดที่กำเริบเมื่อโดนแดด โรคพอร์ไฟเรียที่มีอาการปวดท้อง ผิวไหม้แดดเป็นแผลและเกิดตุ่มน้ำ
ส่วนผลเสียที่เกิดจากการสะสมระยะยาว คือ ผิวเหี่ยวแก่ เนื้องอกขั้นก่อนมะเร็ง และมะเร็งผิวหน้า โดย นพ.ประวิตร กล่าวว่า สมาคมโรคมะเร็งอเมริกา ระบุว่า คนอเมริกันทุกสีผิว 1 ใน 5 คนมีโอกาสเป็นมะเร็งผิวหนัง ซึ่งในส่วนของคนไทยเองก็พบมากเช่นกัน
“บางคนไม่ชอบทาครีมกันแดด แม้จำเป็นต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งขณะแดดจัด เช่น การเล่นกีฬา หรือการเดินทางท่องเที่ยว ส่วนใหญ่ที่ไม่ทาให้เหตุผลว่าทำให้แสบตา และทำให้เล่นกีฬาได้ไม่ดี อย่างนักกีฬากอล์ฟหรือเทนนิสที่มักจะเจอปัญหาเหงื่อไหลผ่านครีมกันแดดเข้าตาแล้วมีอาการแสบระคายเคือง ซึ่งอาจจะมีโอกาสที่คนเหล่านี้ได้รับผลกระทบจากแสงแดดได้”
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังแนะนำการทาครีมกันแดด ว่า สำหรับผู้ที่เกรงว่าจะแสบตา ไม่ควรทาครีมกันแดดชิดขอบตาจนเกินไป ควรเว้นระยะประมาณครึ่งนิ้ว และควรมีผ้าซับหน้าเวลาเหงื่อออก หรืออาจจะใช้หมวกป้องกันแสงร่วมด้วย และควรเลือกครีมกันแดดที่มีเนื้อครีมซึบซาบผิวได้ดีและไม่ขวางการหลั่งเหงื่อ
“สำหรับผู้ที่มีแผนจะทำกิจกรรมกลางแดด ถ้าคาดว่าจะใช้เวลาเกิน 20 นาทีควรใช้ครีมกันแดด โดยควรใช้ที่มีค่า SPF 15 ขึ้นไป แต่ถ้าต้องออกแดดเป็นเวลานานมาก ต้องใช้ SPF 30 ขึ้นไป ควรทาล่วงหน้า 15-30 นาทีก่อนออกแดด และทาซ้ำอย่างน้อยทุก 2 ชม.แต่ถ้าเป็นนักกีฬาเช่นว่ายน้ำควรทาบ่อยกว่านั้น ที่สำคัญคือ อย่าลืมดูวันหมดอายุ โดยยากันแดดส่วนใหญ่จะมีอายุการใช้งาน 3 ปี” นพ.ประวิตร แนะนำทิ้งท้าย
นพ.ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาโรคผิวหนัง ระบุว่า แสงแดดมีผลเสียต่อผิวหนัง โดยแบ่งผลที่เกิดขึ้นออกมา 2 ประเภท คือ ผลเสียที่เกิดขึ้นทันที โดยแสงแดดจะส่งผลทันทีโดยทำให้เกิดโรคผิวหนัง 40 โรค เช่น ผิวไหม้แดด ผิวคล้ำลง โรค SLE ที่มีอาการปวดข้อ และมีผื่นแดงรูปผีเสื้อ สิวบางชนิดที่กำเริบเมื่อโดนแดด โรคพอร์ไฟเรียที่มีอาการปวดท้อง ผิวไหม้แดดเป็นแผลและเกิดตุ่มน้ำ
ส่วนผลเสียที่เกิดจากการสะสมระยะยาว คือ ผิวเหี่ยวแก่ เนื้องอกขั้นก่อนมะเร็ง และมะเร็งผิวหน้า โดย นพ.ประวิตร กล่าวว่า สมาคมโรคมะเร็งอเมริกา ระบุว่า คนอเมริกันทุกสีผิว 1 ใน 5 คนมีโอกาสเป็นมะเร็งผิวหนัง ซึ่งในส่วนของคนไทยเองก็พบมากเช่นกัน
“บางคนไม่ชอบทาครีมกันแดด แม้จำเป็นต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งขณะแดดจัด เช่น การเล่นกีฬา หรือการเดินทางท่องเที่ยว ส่วนใหญ่ที่ไม่ทาให้เหตุผลว่าทำให้แสบตา และทำให้เล่นกีฬาได้ไม่ดี อย่างนักกีฬากอล์ฟหรือเทนนิสที่มักจะเจอปัญหาเหงื่อไหลผ่านครีมกันแดดเข้าตาแล้วมีอาการแสบระคายเคือง ซึ่งอาจจะมีโอกาสที่คนเหล่านี้ได้รับผลกระทบจากแสงแดดได้”
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังแนะนำการทาครีมกันแดด ว่า สำหรับผู้ที่เกรงว่าจะแสบตา ไม่ควรทาครีมกันแดดชิดขอบตาจนเกินไป ควรเว้นระยะประมาณครึ่งนิ้ว และควรมีผ้าซับหน้าเวลาเหงื่อออก หรืออาจจะใช้หมวกป้องกันแสงร่วมด้วย และควรเลือกครีมกันแดดที่มีเนื้อครีมซึบซาบผิวได้ดีและไม่ขวางการหลั่งเหงื่อ
“สำหรับผู้ที่มีแผนจะทำกิจกรรมกลางแดด ถ้าคาดว่าจะใช้เวลาเกิน 20 นาทีควรใช้ครีมกันแดด โดยควรใช้ที่มีค่า SPF 15 ขึ้นไป แต่ถ้าต้องออกแดดเป็นเวลานานมาก ต้องใช้ SPF 30 ขึ้นไป ควรทาล่วงหน้า 15-30 นาทีก่อนออกแดด และทาซ้ำอย่างน้อยทุก 2 ชม.แต่ถ้าเป็นนักกีฬาเช่นว่ายน้ำควรทาบ่อยกว่านั้น ที่สำคัญคือ อย่าลืมดูวันหมดอายุ โดยยากันแดดส่วนใหญ่จะมีอายุการใช้งาน 3 ปี” นพ.ประวิตร แนะนำทิ้งท้าย