“จรวยพร” เผยให้ครู-บุคลากรการศึกษาโรงเรียนเอกชนนอกระบบมีสิทธิสมัครเป็นสมาชิกกองทุนสงเคราะห์ พร้อมรับสิทธิรักษาพยาบาล เบิกค่าเทอมลูก แย้มจะให้คนนอกที่เชี่ยวชาญบริการการเงิน นำเงินไปสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านกองทุน หุ้น เหมือนกองทุน กบข.
นางจรวยพร ธรณินทร์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ กล่าวภายหลังการประชุมว่า เพื่อให้สอดรับกับการประกาศใช้พระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2550 ที่กำหนดให้ “กองทุนสงเคราะห์เป็นนิติบุคคลภายใต้การกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ” โดยให้แยกระบบกองทุนและบัญชีการดำเนินงานการรับ-จ่าย ของกองทุนสงเคราะห์โรงเรียนในระบบ และโรงเรียนนอกระบบออกจากกันตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย
และให้โอนบรรดากิจการ ได้แก่ งานพัฒนากองทุนสงเคราะห์ งานสวัสดิการ งานกองทุนสงเคราะห์ งานการเงินและบัญชี ทรัพย์สินอันได้แก่ เงิน ทรัพย์สิน หนี้สินและทุน ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 11,030,876,859.69 บาท ให้แก่กองทุนสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550และให้ข้าราชการของ สช.และลูกจ้างประมาณ 46 คนไปช่วยงานกองทุนสงเคราะห์นี้เป็นเวลา 1 ปี หลังจากนั้นให้เลือกว่าจะเป็นข้าราชการหรือพนักงานของกองทุน
“กองทุนนี้จะแยกเป็น 2 กองทุน โรงเรียนในระบบ ซึ่งมีอยู่เดิมและมีเงินอยู่ในกองทุน หมื่นกว่าล้านบาท ส่วนอีกกองทุนคือโรงเรียนนอกระบบ อย่างเช่น โรงเรียนกวดวิชา โรงเรียนเสริมสวย โรงเรียนสอนคอมพิวเตอร์ ฯลฯ โดยครู บุคลากร ต้องส่งเงินเข้ากองทุนคนละ 3% เจ้าของโรงเรียน 3% และรัฐบาลจ่ายสมทบให้ 6% อย่างไรก็ตาม ระยะแยกที่ตั้งกองทุนยังคงไม่ให้สมาชิกกู้เพราะยังไม่มีดอกผล ต้องรอจนกว่ากองทุนมีรายได้จากดอกผลนั้น อย่างไรก็ตาม สมาชิกจะได้รับสวัสดิการด้านค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียนบุตร และถ้าเป็นสมาชิกครบ 10 ปี จะได้รับเงินชดเชย หากอยู่ไม่ครบ 10 ปี อาจจะจ่ายคืนเฉพาะเงินสมทบเข้ากองทุนเท่านั้น” นางจรวยพร กล่าวว่า รายละเอียดต่างๆ มอบให้ นายเจริญผล สุวรรณโชติ ไปร่างระเบียบและรายละเอียดต่างๆ และจะให้สมาชิกเริ่มโรงเรียนนอกระบบเริ่มส่งเงินเข้ากองทุนเดือนตุลาคม 2552
ปลัด ศธ.กล่าวต่อว่า กองทุนนี้ ในส่วนของกรุงเทพฯ ผอ.สำรวม ดูแล ขณะที่ต่างจังหวัดจะให้ขึ้นตรงกับเขตพื้นที่ ทั้งนี้ เพื่อให้กองทุนฯมีรายได้ จะมีผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนเข้ามาช่วยดูว่า เงินเหล่านี้จะบริหารจัดการอย่างไรเพื่อให้เกิดประโยชน์ มีดอกมีผลเพิ่มขึ้น เหมือนกับกองทุน กบข. กองทุนสหกรณ์กระทรวงสาธารณสุข ที่เขานำเงินส่วนหนึ่งไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล ซื้อหุ้น และอื่นๆ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ต้องพิจารณาเรื่องของความเสี่ยงให้มากที่สุด
นางจรวยพร ธรณินทร์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ กล่าวภายหลังการประชุมว่า เพื่อให้สอดรับกับการประกาศใช้พระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2550 ที่กำหนดให้ “กองทุนสงเคราะห์เป็นนิติบุคคลภายใต้การกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ” โดยให้แยกระบบกองทุนและบัญชีการดำเนินงานการรับ-จ่าย ของกองทุนสงเคราะห์โรงเรียนในระบบ และโรงเรียนนอกระบบออกจากกันตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย
และให้โอนบรรดากิจการ ได้แก่ งานพัฒนากองทุนสงเคราะห์ งานสวัสดิการ งานกองทุนสงเคราะห์ งานการเงินและบัญชี ทรัพย์สินอันได้แก่ เงิน ทรัพย์สิน หนี้สินและทุน ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 11,030,876,859.69 บาท ให้แก่กองทุนสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550และให้ข้าราชการของ สช.และลูกจ้างประมาณ 46 คนไปช่วยงานกองทุนสงเคราะห์นี้เป็นเวลา 1 ปี หลังจากนั้นให้เลือกว่าจะเป็นข้าราชการหรือพนักงานของกองทุน
“กองทุนนี้จะแยกเป็น 2 กองทุน โรงเรียนในระบบ ซึ่งมีอยู่เดิมและมีเงินอยู่ในกองทุน หมื่นกว่าล้านบาท ส่วนอีกกองทุนคือโรงเรียนนอกระบบ อย่างเช่น โรงเรียนกวดวิชา โรงเรียนเสริมสวย โรงเรียนสอนคอมพิวเตอร์ ฯลฯ โดยครู บุคลากร ต้องส่งเงินเข้ากองทุนคนละ 3% เจ้าของโรงเรียน 3% และรัฐบาลจ่ายสมทบให้ 6% อย่างไรก็ตาม ระยะแยกที่ตั้งกองทุนยังคงไม่ให้สมาชิกกู้เพราะยังไม่มีดอกผล ต้องรอจนกว่ากองทุนมีรายได้จากดอกผลนั้น อย่างไรก็ตาม สมาชิกจะได้รับสวัสดิการด้านค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียนบุตร และถ้าเป็นสมาชิกครบ 10 ปี จะได้รับเงินชดเชย หากอยู่ไม่ครบ 10 ปี อาจจะจ่ายคืนเฉพาะเงินสมทบเข้ากองทุนเท่านั้น” นางจรวยพร กล่าวว่า รายละเอียดต่างๆ มอบให้ นายเจริญผล สุวรรณโชติ ไปร่างระเบียบและรายละเอียดต่างๆ และจะให้สมาชิกเริ่มโรงเรียนนอกระบบเริ่มส่งเงินเข้ากองทุนเดือนตุลาคม 2552
ปลัด ศธ.กล่าวต่อว่า กองทุนนี้ ในส่วนของกรุงเทพฯ ผอ.สำรวม ดูแล ขณะที่ต่างจังหวัดจะให้ขึ้นตรงกับเขตพื้นที่ ทั้งนี้ เพื่อให้กองทุนฯมีรายได้ จะมีผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนเข้ามาช่วยดูว่า เงินเหล่านี้จะบริหารจัดการอย่างไรเพื่อให้เกิดประโยชน์ มีดอกมีผลเพิ่มขึ้น เหมือนกับกองทุน กบข. กองทุนสหกรณ์กระทรวงสาธารณสุข ที่เขานำเงินส่วนหนึ่งไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล ซื้อหุ้น และอื่นๆ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ต้องพิจารณาเรื่องของความเสี่ยงให้มากที่สุด
