xs
xsm
sm
md
lg

ประธาน กสม.ยื่นนายกฯ เร่งแก้ปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ดันกฎหมายอากาศสะอาด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ประธาน กสม. ส่งหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหา PM 2.5 ดันร่าง กม.อากาศสะอาด เพื่อลดผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชน

วันนี้(26ธ.ค.)นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) เปิดเผยว่า กสม.ได้ติดตามสถานการณ์มลพิษทางอากาศ จากฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) รวมทั้งการดำเนินการของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว แต่สถานการณ์ยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศซึ่งกระทบต่อสิทธิมนุษยชนของประชาชนในวงกว้าง กสม. จึงได้ศึกษาข้อมูลรวมทั้งจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเห็นว่าฝุ่น PM 2.5 เป็นปัญหามลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงและต่อเนื่องในประเทศไทย โดยมีแหล่งกำเนิดจากหลายภาคส่วน ได้แก่ ภาคอุตสาหกรรม ภาคคมนาคม ภาคป่าไม้ ภาคเกษตรกรรม ภาคเมือง รวมทั้งจากมลพิษข้ามพรมแดน ปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อสิทธิมนุษยชนด้านต่าง ๆ ดังนี้

 1.สิทธิในสุขภาพ โดยฝุ่น PM 2.5 ส่งผลให้จำนวนผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ เช่น โรคผิวหนังอักเสบ โรคตาอักเสบ และโรคระบบทางเดินหายใจ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

2. สิทธิทางเศรษฐกิจและมาตรฐานการครองชีพ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวและภาคบริการ เช่น โรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจนำเที่ยวที่ขาดรายได้ ขณะที่มาตรการห้ามเผาเด็ดขาดของรัฐที่ประกาศใช้เป็นการทั่วไป ยังส่งผลกระทบต่อเกษตรกรรายย่อยที่ต้องกำจัดเศษวัสดุทางการเกษตรและแบกรับต้นทุนการจัดการเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังส่งผลต่อวิถีชีวิตของชุมชนรวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์ที่ทำการเกษตรแบบไร่หมุนเวียนหรือการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างยั่งยืนซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการบรรลุมาตรฐานการครองชีพที่เพียงพอ และ

 3. สิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง เนื่องจากการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารหรือการแจ้งเตือนสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ที่รวดเร็ว ถูกต้อง ครอบคลุมและเข้าใจได้ง่าย ยังคงเป็นข้อท้าทายสำคัญต่อการเตรียมความพร้อมรับมือและป้องกันตนเอง โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ เด็ก รวมทั้งผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างทั่วถึง


ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ยังเป็นวิกฤตสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำรงชีวิตและสิทธิของประชาชนในการมีอากาศที่สะอาดและปลอดภัย โดยธนาคารโลก (World Bank) ประเมินความเสียหายทางสุขภาพจากมลพิษทางอากาศของประเทศไทยมีมูลค่า 45,334 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1.4 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3.89 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ และฝุ่น PM 2.5 ส่งผลต่อมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐศาสตร์ต่อครัวเรือนไทยที่ 2.173 ล้านล้านบาท ซึ่งประเทศไทยมีพันธกิจดำเนินการคุ้มครองสิทธิดังกล่าวตามพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี อาทิ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) อีกทั้ง คณะกรรมการประจำกติกา ICESCR ได้มีความเห็นทั่วไปลำดับที่ 27 ยืนยันว่า สิ่งแวดล้อมที่สะอาด มีสุขภาวะ และยั่งยืน เป็นเงื่อนไขพื้นฐานของการใช้สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม และกำหนดให้รัฐต้องป้องกันและลดมลพิษจากแหล่งกำเนิดต่าง ๆ รวมทั้งจัดให้มีกลไกการเยียวยาที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ สิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดียังได้รับการรับรองจากสมัชชาสหประชาชาติว่าเป็นสิทธิมนุษยชน

ดังนั้น การป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 จึงเป็นหน้าที่สำคัญที่รัฐต้องดำเนินการอย่างจริงจังทั้งด้านกฎหมาย นโยบาย และการปฏิบัติ โดยมุ่งเน้นการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษ เผยแพร่ข้อมูลอย่างโปร่งใส โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเร่งออกกฎหมายว่าด้วยอากาศสะอาดที่เข้มข้น ครอบคลุม และให้ความสำคัญกับการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ การคุ้มครองประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางทั้งในระยะสั้นและระยะยาวเพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ซึ่งในขณะนี้ ประชาชนยังคงเผชิญผลกระทบอย่างต่อเนื่องและรุนแรง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐต้องเร่งดำเนินมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพควบคู่ไปกับกระบวนการทางกฎหมาย

ด้วยเหตุผลดังกล่าวน.ส.พรประไพ กาญจนรินทร์ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จึงมีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 24 ธันวาคม 2568 แจ้งข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศจากฝุ่น PM 2.5 เพื่อให้พิจารณามอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ

1.ให้รัฐบาลผลักดันร่างพ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. …. ที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาเพื่อให้มีผลใช้บังคับโดยเร็ว

2. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2568 - 2570 ครอบคลุมมาตรการป้องกัน ควบคุม และการลดมลพิษที่แหล่งกำเนิดอย่างเป็นระบบ

3. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องพัฒนาระบบฐานข้อมูลคุณภาพอากาศโดยบูรณาการเทคโนโลยีดาวเทียมและระบบตรวจวัดมลพิษทางอากาศที่สามารถระบุแหล่งกำเนิดมลพิษได้อย่างชัดเจน เพื่อเพิ่มศักยภาพการเฝ้าระวัง การเตือนภัย และการสื่อสารให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม

4.ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เร่งกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อร่วมป้องกันแก้ไขปัญหา โดยจัดสรรงบประมาณที่เพียงพอ มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย สนับสนุนองค์ความรู้และอุปกรณ์ด้านการตรวจวัดหรือเทคโนโลยีติดตามคุณภาพอากาศ เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถป้องกันแก้ไขปัญหามลพิษในพื้นที่ของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5.ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องทบทวนมาตรการห้ามเผาเด็ดขาดโดยคำนึงบริบทเชิงพื้นที่และการเกษตรที่ยังพึ่งพาการเผาแบบไร่หมุนเวียน รวมถึงนำเทคโนโลยี อาทิ แอปพลิเคชัน Fire-D สนับสนุนการบริหารจัดการการเผาที่ยืดหยุ่นและไม่ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีพของประชาชน

6. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ควบคุมและกำกับดูแลโรงงานอุตสาหกรรมอย่างทั่วถึงและเข้มงวด โดยกำหนดให้ใช้ระบบตรวจวัดการระบายมลพิษแบบต่อเนื่อง (Continuous Emission Monitoring System: CEMS) ซึ่งต้องเปิดเผยต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส

7.ให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ยกระดับมาตรฐานไอเสียรถยนต์ให้เป็นไปตามเกณฑ์ EURO 6 ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลกำหนดปริมาณการปล่อยมลพิษของรถยนต์ ตรวจจับรถยนต์ที่ปล่อยควันดำเกินมาตรฐานในพื้นที่เสี่ยงอย่างจริงจัง

8.ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง พัฒนาและส่งเสริมการเข้าถึงเทคโนโลยีการจัดการเศษวัสดุการเกษตร โดยกำหนดมาตรการจูงใจทางเศรษฐกิจและมุ่งปรับเปลี่ยนวิธีการเพื่อลดหรือหลีกเลี่ยงการเผา

9. ให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ส่งเสริมเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และชีวมวล เป็นต้น เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมถึงฝุ่น PM 2.5 จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลในภาคอุตสาหกรรม

10. ให้กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง กำหนดมาตรการด้านสาธารณสุขเพื่อคุ้มครองประชาชนรวมถึงกลุ่มเสี่ยง อาทิ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ และผู้ป่วยโรคประจำตัว โดยจัดหาอุปกรณ์ป้องกันที่เข้าถึงง่ายและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการปรับรูปแบบการเรียนการสอนในช่วงที่ค่าฝุ่น PM 2.5 สูงและ

11.ให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ผลักดันความร่วมมือระหว่างประเทศภายใต้กลไกศูนย์ประสานงานอาเซียนว่าด้วยมลพิษทางอากาศข้ามพรมแดน (ASEAN Coordinating Centre for Transboundary Haze Pollution) ทั้งในด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูล การเฝ้าระวังร่วมและการพัฒนามาตรการลดการเผาในประเทศต้นทาง รวมถึงกำหนดมาตรการคัดกรองหรือควบคุมการนำเข้าสินค้าเกษตรที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเผาหรือกระบวนการผลิตที่ก่อให้เกิดมลพิษ


กำลังโหลดความคิดเห็น