เมืองไทย 360 องศา
“You know me little go” คำพูดภาษาอังกฤษแบบแสลงๆ ว่า “รู้จักผมน้อยไป” ของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตอบคำถามหลังจากที่มีภาพปรากฏร่วมเฟรมกับ นายเบนจมิน เมาเออร์ เบอร์เกอร์ หรือ เบน สมิธ นักธุรกิจที่ถูกสหรัฐจัดอยู่ในกลุ่มบุคคลเสี่ยงเกี่ยวข้องขบวนการสแกมเมอร์ข้ามชาติ และอยู่ในเครือข่ายที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพิ่งประกาศอายัดทรัพย์สิน
แน่นอนว่า การปรากฏภาพถ่าย หรือ “ปล่อย” ภาพดังกล่าว ที่มีคนดังหลายร่วมอยู่ในนั้น ไม่ว่าจะเป็น นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีตผู้บัญชาการทหารบก เป็นต้น ย่อมมองออกทันทีว่า มีความประสงค์ให้เกิดผลทางการเมืองตามมาแบบไม่ต้องสงสัย ส่วนจะเป็นใครปล่อย และรับรู้ถึงเจตนาเบื้องหลังนั้น หากปะติดปะต่อให้ดี เชื่อว่าน่าจะพอคาดเดากันได้
แต่ก่อนที่จะประเมินสถานการณ์ข้างหน้า ก็ต้องมองย้อนกลับไปมองถึงการเคลื่อนไหวในอดีต ว่า นอกเหนือจาก นายเบน สมิธ ที่ว่านี้แล้ว ยังมีอีกหลายคนที่เป็นระดับ “ตัวเบิ้ม” ของ “เครือข่ายหลอกลวง” หรือ สแกมเมอร์ข้ามชาติ และล่าสุดทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ได้มีการยึดอายัดทรัพย์นับหมื่นล้านบาท
สำหรับรายละเอียดของคดี ที่นำมาสู่การยึดทรัพย์ครั้งใหญ่นี้เริ่มต้นจาก คดีนายเฉิน จื้อ กับพวก ซึ่งเป็นเครือข่ายฉ้อโกงออนไลน์และค้ามนุษย์ ที่มีฐานใหญ่ในกัมพูชา เชื่อมโยงกับกลุ่มบริษัท Prince Holding Group โดยพบพฤติการณ์ฟอกเงินผ่านสกุลเงินดิจิทัล และสับเปลี่ยนเป็นสินทรัพย์ต่าง ๆ ในรูปแบบไฮบริดสแกม คณะกรรมการฯ จึงสั่งยึดทรัพย์สินกว่า 102 รายการ มูลค่าประมาณ 373 ล้านบาท
ถัดมาคือ คดีนายก๊ก อาน (Mr. Kok An) เจ้าของอาคารหลายแห่งในกัมพูชาที่ถูกใช้เป็นฐานปฏิบัติการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีการใช้บัญชีม้าสแกนใบหน้าเพื่อโอนเงินและนำเงินที่ได้มาซื้อทรัพย์สินในไทยให้ผู้อื่นถือครองแทน โดยในคดีนี้มีการยึดทรัพย์สิน 90 รายการ มูลค่าประมาณ 467 ล้านบาท
คดีที่มีมูลค่าความเสียหายและยึดทรัพย์ได้สูงที่สุดคือ คดีนางสาวแตงไทยฯ กับพวก ซึ่งเชื่อมโยงกับ นายยิม เลียก (Mr. Leak Yim) และนายเบน สมิธ (Mr. Smith Ben) บุคคลใกล้ชิดทายาทผู้มีอิทธิพลในกัมพูชา โดยมีพฤติการณ์หลอกลวงผู้เสียหายให้โอนเงินเพื่อตรวจสอบความบริสุทธิ์ และมีการโอนเงินหมุนเวียนระหว่างบริษัททั้งในและต่างประเทศอย่างซับซ้อนเพื่ออำพรางธุรกรรม คณะกรรมการฯจึงมีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินประเภท ที่ดิน ห้องชุด และหลักทรัพย์ต่างๆ จำนวน 66 รายการ รวมมูลค่าสูงถึง 9,279 ล้านบาท นอกจากนี้ เลขาธิการปปง. ยังได้ใช้อำนาจเร่งด่วน ยึดรถหรูเพิ่มเติมอีก 3 คัน
ส่วนคดี นายเอื้ออังกูรฯ กับพวก ซึ่งเป็นกลุ่มมิจฉาชีพที่ชักชวนประชาชนลงทุนเทรดหุ้นผ่านแอปพลิเคชัน ULELA Max โดยสร้างข้อมูลกำไรเท็จเพื่อจูงใจ ก่อนจะนำเงินที่หลอกลวงได้ไปแปลงเป็นเหรียญดิจิทัล (USDT) ส่งต่อไปยังเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ โดยคดีนี้มีการยึดทรัพย์สิน 31 รายการ มูลค่าประมาณ 46 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลของเขา ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่า “ไม่จริงจัง” กับการปราบปรามขบวนการสแกมเมอร์ข้ามชาติ และถูกมองว่าสาเหตุเป็นเพราะมีบุคคลสำคัญในรัฐบาลรวมไปถึงระดับ “ขาใหญ่” ที่ค้ำจุนรัฐบาล มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วย
ที่ผ่านมายังมี อดีตรัฐมนตรีบางคนถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับขบวนการสแกมเมอร์ข้ามชาติพวกนี้อีกด้วย และยังมีบางคน ที่ทำหน้าที่ด้านกฎหมายให้กับ “เบน สมิธ” ยังทำหน้าที่อยู่ในรัฐบาลในเวลานี้อีกด้วย
ด้วยท่าทีดังกล่าว ทำให้รัฐบาล นายอนุทิน ยังถูกมองด้วยความสงสัย ที่ผ่านมายัง “ไม่มีแต้มบวก” ในเรื่องแบบนี้ ทั้งที่ความเสียหายของคนไทยมีจำนวนมาก อีกทั้งเมื่อเทียบกับหลายประเทศที่ “แอกชัน”อย่างเข้มข้น เช่น เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา และอังกฤษ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี หลังจากที่มีการ “ยึดอายัด” ทรัพย์สินของพวก “ตัวเบิ้ม” ดังกล่าว ภาพที่ออกมาจึงเหมือนกับว่า ได้ไฟเขียวจากรัฐบาล และมีการเปิดการแถลงข่าวใหญ่โตจาก นายอนุทิน และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานด้านการปราบปราม ไปเมื่อวันก่อน ทำให้เกิดคำถามตามมาอีกแบบหนึ่งทำนองว่า “รัฐบาลเอาจริงหรือเปล่า” หรือว่าเป็นการ “สร้างภาพเพื่อกลบความล้มเหลว” ในภาคใต้
และตามมาด้วยการปล่อยภาพดังกล่าว ที่มีบุคคลสำคัญหลายคนร่วมเฟรมกับ “เบน สมิธ” ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ตามมาต่างๆนานา และยังรวมไปถึงการขุดภาพ นายทักษิณ ชินวัตร ในลักษณะที่นั่งหารือกับ นายเบน สมิธ ออกมาในเวลาไล่เลี่ยกันอีกด้วย เหมือนกับว่างานนี้ “พอกัน” อะไรประมาณนั้น
ล่าสุด เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม นายอนุทิน กล่าวถึงกรณีมีภาพหลุดร่วมเฟรมกับ เบน สมิธ ว่า ทุกคนก็เห็นอยู่แล้วว่าภาพถ่ายเมื่อไหร่ ที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมา ตนไปแถลงข่าวมาแล้วเรื่องสแกมเมอร์ สื่อก็ถามว่าใครมีเส้น ใครมีสาย ตนก็พูดชัดเจนว่า หากไปถึงใคร ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายทั้งหมด
เมื่อถามว่า รู้จักกับ นายเบน สมิธ เป็นการส่วนตัวหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า รู้จักแต่ไม่สนิท พร้อมย้อนถามสื่อว่า “ปีนั้นปีอะไร นั่นแหละแค่เจอครั้งแรก”
เมื่อถามต่อว่า เป็นเกมการเมืองหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า แล้วแต่จะคิด โดยปกติ ตนไม่ได้ติดต่อมีธุรกิจมีธุรกรรมอะไรด้วยอยู่แล้ว พร้อมย้อนถามสื่ออีกว่า ”จำไม่ได้หรือว่าทำไมเขาถึงไม่ได้สัญชาติ“
เมื่อถามย้ำว่า การโพสต์ภาพครั้งนี้ ถือเป็นการโจมตีรัฐบาลหรือไม่ ที่ไม่ให้สัญชาติไทย นายกฯ กล่าวว่า เขาว่าเป็นมูลเหตุ พร้อมหัวเราะ
เมื่อถามต่อว่า เป็นมูลเหตุที่ทำให้โดนปลดจากตำแหน่ง รมว.มหาดไทย (ในรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร) ใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า “ใช่ หนึ่งในข้อหาหนึ่ง ที่ผมโดนออกจาก รมว.มหาดไทย แต่ไม่ใช่การปลดออกจากรัฐบาล แต่ให้ไปเป็น รมว.สาธารณสุขแทน แต่ผมไม่เอา และขอถอนตัวออกจากรัฐบาล ต้องพูดกันให้แฟร์ๆ” พร้อมกล่าวย้ำว่า พรรคภูมิใจไทยไม่ได้โดนปลดจากรัฐบาลสมัยที่แล้ว ขอให้สื่อนำเสนอให้ชัดเจน เพียงแต่ได้รับการขอให้ออกจากตำแหน่ง รมว.มหาดไทย ไปเป็น รมว.สาธารณสุข ซึ่งพรรคภูมิใจไทย ก็ปฏิเสธ
ถามต่อว่า นายเบน สมิธ รู้จักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเราดีใช่หรือไม่ นายกฯ หัวเราะ ก่อนบอกต่อว่า “พวกคุณก็เห็นรูปแล้ว จะมาเอาเรื่องอะไรจากรูปที่ถ่าย 7 ปีที่แล้ว”
ผู้สื่อข่าวถามย้ำอีกว่า นี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้รัฐบาล ไม่กล้าปราบปรามพวกของนายเบน สมิธ อย่างจริงจังใช่หรือไม่ นายกฯ ตอบกลับว่า ”ผมหรือไม่กล้าแตะ You know me little go รู้หรือเปล่าแปลว่าอะไร คุณรู้จักผมน้อยไป“ ก่อนเดินเข้าประชุมทันที
ในคำพูดของ นายอนุทิน ย่อมมีความหมายชัดเจนว่า ต้องการชี้ให้เห็นว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาต้องพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คราวก่อน เป็นเพราะการปฏิเสธไม่ให้สัญชาติไทยกับ นายเบน สมิธ และแน่นอนว่า งานนี้เขาก็ต้องการลากพรรคเพื่อไทย ที่เชื่อมโยงกับ นายทักษิณ ออกมาด้วย ดังนั้นงานนี้ถือว่าเป็น “เกมการเมือง” ที่เข้มข้น ก่อนการยุบสภา คำว่า “รู้จักผมน้อยไป” จริงหรือไม่ อีกไม่นานก็ได้เห็นกัน !!



