เมืองไทย 360 องศา
ต้องบอกว่า เวลานี้เรื่อง “สแกมเมอร์” หรือ ขบวนการหลอกหลวงทั้งหลาย กำลังเป็นวาระระหว่างประเทศ หรือ ระดับโลกไปแล้ว ถือว่า “เลยระดับวาระแห่งชาติ” ไปไกลแล้ว แม้ว่าจุดเริ่มต้นจะเริ่มมาจากในบ้านเราหรือกัมพูชาจนบานปลายจากกรณีที่ “แก๊งสแกมเมอร์” อุ้มฆ่านักศึกษาชาวเกาหลีใต้ จนทำให้รัฐบาลเกาหลีใต้ต้องส่งเจ้าหน้าที่ชุดใหญ่มาจัดการ ทำให้รัฐบาลกัมพูชาต้องเสียเครดิตในสายตานานาชาติอย่างแรง
ขณะเดียวกันความสูญเสียและความเสียหายจาก “แก๊งสแกมเมอร์” ดังกล่าวที่เป็นแก๊งข้ามชาติ มาปักหลักสร้างฐานก่ออาชญากรรมทุกรูปแบบในกัมพูชา และต่อมารัฐบาลหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และอีกหลายประเทศมีการยึดอายัดทรัพย์สิน และยุติการทำธุรกรรมทางการเงินกับของเครือข่ายพวกนี้ รวมไปถึงมีการ “ขึ้นบัญชีดำ” คนสำคัญซึ่งในจำนวนนั้นมีเครือญาติ และผู้สนับสนุนคนสำคัญของผู้นำกัมพูชา คือ นายฮุน เซน และ นายฮุน มาเน็ต นายกรัฐมนตรีกัมพูชารวมอยู่ด้วย
อย่างที่รับรู้กันว่า ปัญหาจากแก๊งสแกมเมอร์ดังกล่าว ได้สร้างความเสียหายให้กับพลเมืองหลายชาติ ทั่วโลก โดยเฉพาะจากประเทศจีน สหรัฐฯ เกาหลีใต้ เป็นต้น รวมไปถึงมีคนจากหลายสัญชาติ ที่ถูกหลอกจากแก๊งพวกนี้ ทำให้ทั่วโลกต้องตื่น ร่วมกันแก้ปัญหา จนกลายเป็น “วาระนานาชาติ”
ขณะเดียวกัน เรื่องดังกล่าวย่อมเชื่อมโยงกับประเทศไทยแบบเลี่ยงไม่ออก เพราะเครือข่าย “หลอกลวง” พวกนี้มีคนไทย ข้าราชการไทย นักการเมืองไทยร่วมแก๊ง ในลักษณะที่เรียกว่า “ไทยเทา หรือไทยสีดำ” ไม่ว่าจะเป็นพวกหลอกลวง หรือคนที่ถูกหลอก ที่มีจำนวนมาก ทำให้มูลค่าความเสียหายในแต่ละปี จำนวนมหาศาล
จากภาวะดังกล่าว ทำให้เป็นแรงกดดันให้รัฐบาล โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ต้อง “แอกชัน” มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาจัดการ ปราบปรามแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน โดยมีคณะกรรมการชุดใหญ่ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย เป็นประธานการประชุมตรวจเยี่ยม และมอบนโยบายแก่คณะกรรมการ คณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่สำนักงาน ปปง.
นายอนุทิน กล่าวว่า ภารกิจงานของ ปปง. เป็นที่สนใจของประชาชนและสังคมมากเป็นพิเศษ เพราะช่วงนี้ไม่มีอะไรดังไปกว่า สแกมเมอร์ เรื่องอาชญากรรมทางการเงิน อาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งในธุรกรรมต่างๆ ของมิจฉาชีพและธุรกิจประเภทนี้ หลีกเลี่ยงไม่ได้กับภารกิจงานของ ปปง. เพราะทุกอย่างต้องฟอกเงิน เงินที่ไม่สะอาดเป็นเงินที่ไม่ใช่เทา แต่เป็นเงินดำ แต่ฟอกยังไงก็ยังเป็นดำ
“เพราะฉะนั้นผมในฐานะที่กำกับดูแลสำนักงาน ปปง. ก็ต้องยอมรับว่ามีความกดดัน และได้รับความกดดันจากประชาชนและสังคม ตลอดจนประชาคมนานาชาติสูงมาก ในเรื่องของการเกิดปัญหาอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสแกมเมอร์เหล่านี้ ยิ่งถ้าเราดำเนินการไม่เฉียบขาดไม่เต็มที่ มันไม่ใช่เฉพาะว่าเราจะถูกตราหน้าว่า เราไม่มีผลงาน แต่สิ่งที่จะตามมาหลังจากนั้นคือ การแซงก์ชัน (มาตรการลงโทษคว่ำบาตร) และถูกกีดกันจากนานาชาติ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก” นายอนุทิน ระบุ
ทั้งนี้ นายอนุทิน ระบุภายหลังการประชุมด้วยว่า ปปง. ต้องการให้รัฐบาลสนับสนุนอะไรบ้าง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ในยุคที่เรื่องของอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสแกมเมอร์ เป็นเรื่องที่ถูกบรรจุเป็นวาระแห่งชาติ ก็จะต้องดำเนินการให้การสนับสนุน ปปง.ที่จะทำการตรวจสอบยึดทรัพย์ อายัดทรัพย์ และดำเนินคดีผู้กระทำความผิด ก็มีการหารือกัน
“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเฉพาะภายในประเทศ ถ้าเราไม่มีการสร้างความมั่นใจในเรื่องการปราบปรามผู้กระทำความผิด โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการฟอกเงิน ก็จะมีผลต่อความเชื่อมั่นของนานาชาติต่อประเทศไทย ซึ่งไม่เป็นผลดีเลย และจะสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศ ซึ่งมีอยู่ทางเดียว ปปง. ต้องดำเนินงานอย่างเต็มที่ไม่ให้มีเงินดำหรือเงินเทาเข้ามาอยู่ในระบบการเงินของประเทศไทย” นายอนุทิน ระบุ
เมื่อถามอีกว่า ข้อมูลที่ฝ่ายค้านพยายามเชื่อมโยงสแกมเมอร์ โดยอยากให้นายกฯ จัดการ จะดูแลอย่างไรบ้าง นายกฯ กล่าวว่า นายกฯไม่ต้องจัดการ เรามีปปง.จัดการ เรามีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) จัดการ ถ้าตรงไหนมีพฤติกรรมเรื่องฟอกเงิน มีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินการ และมี ปปง.จัดการ เป็นหน้าที่ที่เขาต้องเร่งดำเนินการอยู่แล้ว และตอนนี้ได้หารือในที่ประชุม ประธาน ปปง.ซึ่งเป็นอดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้นำเสนอว่า จะเร่งทำบันทึกความร่วมมือ เพราะเป็นวาระแห่งชาติ เอา 4 หน่วยงานหลัก คือ 1. ปปง. 2. กระทรวงมหาดไทย ประกอบด้วยปลัดกระทรวงมหาดไทย และ ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด 3. ตำรวจ และ 4. ดีเอสไอ มาทำข้อตกลงในการทำงานร่วมกัน เพื่อปราบปรามเรื่องการฟอกเงิน การใช้ระบบอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เรื่องสแกมเมอร์ก็จะลงไปในระดับปฏิบัติ ไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดด้วย
แน่นอนว่าพิจารณาจากท่าทีดังกล่าวของ นายกรัฐมนตรี ดูแล้วเหมือนกับเอาจริงเอาจังกับการแก้ปัญหาสแกมเมอร์อย่างจริงจัง มีการตั้งคณะกรรมการชุดเล็ก ชุดย่อย ขึ้นมาเพิ่มเติมมากมาย มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมมากมาย ล่าสุดไทยยังมีการเป็นเจ้าภาพการประชุม “หัวหน้าตำรวจอาเซียน” ซึ่งวาระสำคัญก็คือ เรื่องการปราบปรามสแกมเมอร์ มีการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกัน
อย่างไรก็ดี จากท่าทีและความขึงขังของรัฐบาล และนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ที่ดูเหมือนว่าให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นสำหรับ “ภัยหลอกลวง” ที่เป็นวาระนานาชาติในเวลานี้ แต่ในความเป็นจริงกับผลที่ออกมา “ยังจับต้องอะไรไม่ได้” ข้อกล่าวหาทั้งจากฝ่ายค้าน ที่อ้างว่ามี “7 นักการเมือง” พัวพันธุรกิจมืดดังกล่าว จนบัดนี้ก็ยังไม่เป็นรูปธรรม ทั้งที่ในเรื่องการตรวจสอบเส้นทางการเงิน จากบรรดามิจฉาชีพเหล่านี้ ย่อมต้องหาเบาะแสได้ไม่ยาก
ดังนั้น เมื่อผลงานที่ออกมาสวนทางกับท่าทีที่ดูขึงขังเอาจริงเอาจัง มันก็อดไม่ได้ที่จะถูกมองว่า “ท่าดี ทีเหลว” เหมือนกับว่าไม่กล้าเอาจริง เพราะหากยิ่งสาว ยิ่งลึก โยงใยไปถึงพวกตัวเองหรือเปล่า ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากไทม์ไลน์ ก็ยังไม่ปรากฏชัดเจน เหมือนกับว่าแค่ต้องการสร้างภาพทางการเมืองเอาไว้ก่อน แต่ไร้ผลงานเป็นรูปธรรม นั่นแหละ!!


